เมื่อได้เป็นเถ้าแก่ของลั่วอวี้ฟัง หงกูก็กลายมาเป็นลูกน้องมือขวาของจินอวี้ จินอวี้เริ่มคิดหาวิธีที่จะทำให้ลั่วอวี้ฟังดัง ระหว่างที่ยังคิดไอเดียดีๆ ไม่ออก วันหนึ่งมีขอทานมายืนร้องเพลงขอทานที่หน้าหอ โดยร้องต่างจากการร้องเพลงทั่วไปตรงที่ เป็นการร้องเพลงที่เล่าเรื่องราวออกมาอย่างยาว

ในสมัยนั้น เพลงกลอนที่เล่าเรื่องราวก็มีบ้าง แต่มักจะเป็นแบบสั้นๆ เนื้อหาก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร สิ่งที่ขอทานทำจึงแปลกใหม่ หลังจากร้องจบ ก็มีคนโยนเงินให้มากกว่าที่ให้ปกติหลายเท่า จินอวี้กับหงกูเห็นแล้วจึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที คือจากที่แค่ร้องเพลงเฉยๆ ก็ทำเป็นละครเพลงอย่างยาวขึ้นมาแล้วจัดให้มีการแสดง ส่วนเนื้อเรื่องของละครเพลงนั้น จินอวี้เลือกเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของเว่ยชิง น้าชายของฮั่วชวี้ปิ้งกับภรรยาของเขา องค์หญิงผิงหยาง แต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร

หลังจากเว่ยชิงสร้างความชอบในการรบจนได้เป็นแม่ทัพคนสำคัญ พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ก็ยกท่านอาของตัวเอง องค์หญิงผิงหยางให้แต่งกับเว่ยชิง เนื่องจากองค์หญิงผิงหยางอายุมากกว่าเว่ยชิงมากอยู่ จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจในเรื่องนี้มาโดยตลอด ที่จินอวี้เลือกเรื่องขององค์หญิงผิงหยางกับเว่ยชิงมาทำเป็นละครเพลงนั้น นอกจากหวังสร้างชื่อเสียงให้ลั่วอวี้ฟังโด่งดังคับฟ้าแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการสร้างบันไดเข้าไปตีสนิทกับองค์หญิงผิงหยาง และอีกจุดประสงค์หนึ่งคือรู้ว่าฮั่วชวี่ปิ้งต้องมาฟังละครเพลงนี้แน่

หลังเปิดแสดงได้ไม่กี่วัน ละครเพลงของลั่วอวี้ฟังก็ดังไปทั่วเมืองฉางอาน ตั๋วเข้าชมเต็มทุกวัน ขนาดว่าขึ้นราคาจนแพงหูดับ เพราะคนของทางลั่วอวี้ฟังสามารถเล่นและร้องเพลงได้ดีจริงๆ

ประมาณว่าหลังเปิดแสดงไปได้ 4-5 วัน ก็มีชายหนุ่มรูปงามที่เป็นมือพิณคนหนึ่งมาขอสมัครงานในหอ ทีแรกก็โดนคนเฝ้าประตูไล่ออกไป แต่เขาอ้อนวอนขอให้เขาได้ลองแสดงฝีมือดีดพิณให้ดูก่อน จินอวี้มาเห็นเหตุการณ์ จึงเปิดโอกาสให้เขาลองดีดพิณดู

ปรากฏว่า...ฝีมือเทพสุดๆ ถึงขนาดคนฟังตกตะลึง ชายมือพิณคนนี้ชื่อว่า หลี่เหยียนเหนียน

จินอวี้ถามเขาว่าหอนางโลมเทียนเซียงฟังดังกว่าที่นี่ แล้วทำไมเขาถึงไม่ไปสมัครที่นั่นล่ะ ? หลี่เหยียนเหนียนตอบว่า ตอนแรกเขาก็ไปสมัครที่นั่นแหละ แต่พอน้องสาวเขาได้ยินแขกคุยกันถึงเนื้อหาละครเพลงของที่นี่ ก็เปลี่ยนใจสั่งให้เขามาสมัครเข้าที่นี่ให้ได้ จินอวี้ฟังแล้วรู้ทันทีว่าน้องสาวของหลี่เหยียนเหนียนรู้จุดประสงค์ในการแต่งละครเพลงเรื่องนี้ของนาง จึงเลยรับทั้งพี่ทั้งน้องเข้าทำงาน และให้พักอยู่ในเขตหอนางโลมแบบให้พักเรือนพักชั้นดีเลย และย้ายเข้ามาอยู่ได้เลยภายในวันนี้

น้องสาวของหลี่เหยียนเหนียนชื่อว่า หลี่เหยียน อายุประมาณ 16-17 ปี เป็นหญิงงามหยาดฟ้ามาดินก็ว่าได้ จินอวี้เห็นแบบนี้ก็เดาได้ว่าจุดประสงค์ของผู้หญิงคนนี้คือ เข้าวังหลัง

วันรุ่งขึ้นหลังจากสองพี่น้องเข้ามาอยู่ในหอ จินอวี้พาสองพี่น้องไปนั่งชมการแสดงละครเพลงในบอกซ์พิเศษที่เว้นเผื่อเอาไว้ ระหว่างที่เพิ่งดูไปได้ไม่เท่าไหร่ หงกูก็ส่งคนมาตามจินอวี้ไป บอกว่ามีแขกพิเศษมา

ปรากฏว่าแขกพิเศษที่ว่าคือฮั่วชวี่ปิ้ง...

ฮั่วชวี่ปิ้งเห็นจินอวี้ก็ยิ้ม ทักว่าเจ้ามาฉางอานนี่จริงๆ ด้วย แต่ยังไม่ทันได้คุยกัน เด็กในหอก็วิ่งมาตามตัวจินอวี้ไปต้อนรับผู้ดูแลหอนางโลมของสือฟังที่ชื่อ อู๋เหยีย (นายท่านอู๋) และบอกว่าอู๋เหยียมาพร้อมกับผู้ชายหน้าตาท่าทางดีอายุ 20 กว่าปี โดยที่อู๋เหยียเรียกผู้ชายคนดังกล่าวว่า “สือซานเหยีย” (นายท่านสามสือ) และดูเหมือนในรถม้าที่สือซานเหยียคนนั้นนั่งมาจะมีคนอื่นอยู่อีก จินอวี้ก็เดาได้ทันทีว่าใครอยู่ในรถม้า และบอกขอตัวกับฮั่วชวี่ปิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งไปต้อนรับแขกพิเศษในรถม้าคนนั้น

แน่นอนว่า “แขกพิเศษ” ในรถม้าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเมิ่งจิ่ว...

จินอวี้พาเมิ่งจิ่วที่นั่งรถเข็นขึ้นไปดูที่จุดชมละครที่เตรียมเอาไว้ให้โดยเฉพาะ แล้วอยู่คุยด้วยพักหนึ่ง หงกูก็วิ่งมาตามแบบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ว่าช่วยไปต้อนรับฮั่วชวี่ปิ้งหน่อย ตั้งแต่พี่แกย่างเท้าเข้ามาในลั่วอวี้ฟัง อากาศก็เหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นฤดูหนาวเลย หน้าพี่แกเย็นชามากจนเห็นแล้วหนาวสะท้าน นึกว่าละครที่แสดงไปเหยียบตาปลาอะไรของพี่แกเข้า แล้วนางก็ดันใส่เสื้อผ้าของฤดูใบไม้ผลิ เลยจะหนาวตายอยู่แล้ว แล้วนี่ทำไมฮั่วชวี่ปิ้งเห็นหน้าอวี้จิ่นแล้วยิ้มล่ะ สองคนเล่นอะไรกันก็เชิญไปเล่นกันเอง ข้าไม่เล่นด้วยล่ะ กลัวอายุสั้น

เมื่อจินอวี้โผล่เข้าไปในห้องที่ใช้ต้อนรับฮั่วชวี่ปิ้งอีกครั้ง ฮั่วชวี่ปิ้งก็หันไปดูการแสดงอยู่พัก ก่อนจะบอกว่าคนที่เล่นเป็นองค์หญิงผิงหยางเล่นดูอยู่คนเดียว นอกนั้นจะดูหรือไม่ก็งั้นๆ จินอวี้จึงเอ่ยรับโดยจงใจเรียกฮั่วชวี่ปิ้งว่า “คุณชายฮั่ว”

ฮั่วชวี่ปิ้งจึงบอกว่า ตอนที่เจอกัน เขาไม่สะดวกจะบอกฐานะของตัวเอง ให้จินอวี้เรียกเขาว่า “เสี่ยวฮั่ว” เหมือนเดิมได้ จินอวี้จึงถามว่าตอนนี้เชื่อแล้วหรือว่านางเป็นชาวฮั่น ฮั่วชวี่ปิ้งบอกว่า เขาไม่รู้ เพราะจินอวี้โผล่มาแบบประหลาดมาก แล้วยังเชี่ยวชาญภูมิประเทศในซีอวี้เป็นอย่างดี ปากบอกว่าเป็นชาวฮั่น แต่กลับไม่รู้จักแผ่นดินฮั่นเลย ถ้าขืนเขาไม่สงสัยนี่สิถึงจะผิดปกติ จริงไหม ? หลังจากนั้นพอได้เดินทางด้วยกัน ถึงได้แน่ใจว่าจินอวี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ถึงงั้นในตอนนั้นเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเดินทางไปซีอวี้อยู่ จึงไม่สะดวกจะบอกฐานะของตัวเองจริงๆ คำอธิบายที่เขาพูดมาทั้งหมดนี่ นางยอมรับได้ไหม ?

จินอวี้จึงบอกว่า ที่นางเชี่ยวชาญภุมิประเทศในซีอวี้ เพราะนางโตมากับฝูงหมาป่า แล้วไม่เคยมาที่แผ่นดินฮั่นมาก่อนจริงๆ ส่วนที่นางบอกว่าตัวเองเป็นชาวฮั่น ก็เพราะใจของนางเป็นชาวฮั่น

ฮั่วชวี่ปิ้งเปลี่ยนเรื่อง ถามว่าจินอวี้มาฉางอานนานแค่ไหนแล้ว ? เมื่อจินอวี้ตอบว่าครึ่งปีกว่า ฮั่วชวี่ปิ้งก็เงียบไป แล้วถามว่า จินอวี้เลือกเนื้อเรื่องแบบนี้เป็นละครเพลง แสดงว่ารู้แล้วสิว่าเขาเป็นใคร แล้วทำไมไม่ไปหาเขาตรงๆ ? แสดงละครเพลงแบบนี้ ถ้าเขาไม่มาดูแล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะได้เจอกันแน่ๆ ?

จินอวี้ฟังแล้วโอ้โห...หมอนี่หลงตัวเองสุดๆ ที่คิดว่านางเลือกเนื้อเรื่องแบบนี้เพราะกะอยากเจอหน้าโดยเฉพาะ และตอบไปว่า ก็เคยไปหาแล้ว ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ส่วนตอนที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปหาแล้ว จึงไม่ได้ไปหา ฮั่วชวี่ปิ้งถามต่อว่า จินอวี้เลือกเนื้อเรื่องนี้เป็นละครเพลงเพื่ออะไร ? อยากจะเข้าวังหลังหรือไง ? จินอวี้ตอบว่าเปล่า ตัวนางไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวโดยการเข้าไปอยู่ในวังหลังอยู่แล้ว แต่คิดจะส่งคนในหอเข้าไปอยู่ในวังหลังคนหนึ่ง

ฮั่วชวี่ปิ้งถามอีกว่า ละครเพลงนี้ ทุกคำที่นำมาใช้ร้อยเรียงเป็นเนื้อหาผ่านการคัดกรองอย่างระวังมาก แต่ทำไมเมื่อกี้จินอวี้ถึงทิ้งเขาไปต้อนรับนายใหญ่ของสือฟังหน้าตาเฉย ไม่กลัวว่าเขาจะโมโหหรือไง ? จินอวี้ก็ตอบอย่างระมัดระวังว่า เขาเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของข้า เถ้าแก่ใหญ่มา ไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานจะไม่ออกไปต้อนรับ ฮั่วชวี่ปิ้งก็เหล่มามอง พูดเสียงเย็นว่า ฐานะของเขาด้อยกว่านายใหญ่ของสือฟังงั้นหรือ ?

จินอวี้ยังไม่ทันตอบ เด็กในหอก็เข้ามาขัดจังหวะ บอกว่า ให้จินอวี้ช่วยไปพบจิ่วเหยีย(เมิ่งจิ่ว)หน่อย ตอนนี้จิ่วเหยียกำลังโกรธจัดและตำหนิอู๋เหยียจนอู๋เหยียจะแย่แล้ว จินอวี้ฟังแล้วกุมขมับทันที เพราะนี่เป็นปฏิกิริยาในทางที่แย่ที่สุดของเมิ่งจิ่วที่นางคาดเดาเอาไว้หลังจากได้ดูละครเพลง ฮั่วชวี่ปิ้งเห็นอย่างนี้ก็ถามว่า จะให้เขาไปเป็นเพื่อนไหม ? จินอวี้ก็ยิ้ม บอกไม่เป็นไร นางจะจัดการเอง ฮั่วชวี่ปิ้งจึงบอกว่า ไม่ต้องกังวล หากสือฟังไม่ต้องการเจ้า ที่บ้านข้าก็ต้องการ



เมื่อจิ่นอวี้ไปถึง ก็เห็นอู๋เหยียที่ถูกเมิ่งจิ่วตำหนินั่งน้ำตาไหล สีหน้าเมิ่งจิ่วดูเรียบๆ เฉยๆ น้ำเสียงก็เรียบเฉย ไม่มีทีท่าของคนโมโหเลย แต่คำพูดที่พูดออกมานั่น ยังกับมีดกรีดใส่คนฟังซะยับเยิน น่ากลัวมาก - -" เมื่อเห็นว่าจินอวี้มาแล้ว เมิ่งจิ่วก็สั่งให้อู๋เหยียจากไปได้ ส่วนจะจัดการลงโทษยังไง เขาจะแจ้งไปทีหลัง อู๋เหยียพูดทั้งน้ำตาว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ทางสือฟังเก็บมาเลี้ยง ถึงต้องตายชดใช้ความผิดเขาก็ไม่ว่า แต่เขาทนดูสือฟังค่อยๆ ซบเซาลงโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรมานานแล้ว เขาอึดอัดเต็มทีและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้ ผลคือถูกสือซานเหยีย หรือชื่อจริง สือเทียนเจ้า เด็กกำพร้า 1 ใน 3 คนที่พ่อของเมิ่งจิ่วเก็บมาเลี้ยงดูอบรมให้ช่วยเมิ่งจิ่วคุมกิจการสือฟังตวาดด่าที่บังอาจมาพูดกับเมิ่งจิ่วแบบนี้

เมิ่งจิ่วหันมามองจินอวี้ที่เงยหน้าขึ้นต่อตากับเขาแบบไม่หวั่นเกรงแทน แล้วพูดว่า “เจ้านี่เหนือความคาดหมายของข้าอย่างมากจริงๆ ในเมื่อเจ้ามีหัวคิดด้านการวางแผนถึงเพียงนี้ แค่ลั่วอวี้ฟังคงเล็กเกินไปสำหรับเจ้าเสียแล้ว การค้าดีๆ ไม่ทำ กลับไปหาทางตีสนิทกับหงส์มังกร ที่เจ้าสร้างเรื่องแบบนี้ขึ้นมามีจุดประสงค์ใดกัน ?”

อู๋เหยียรีบออกรับแทนว่าจินอวี้ยังเด็ก ไม่รู้ความ เขาเองต่างหากที่จงใจปิดเรื่องนี้ไม่ให้จิ่วเหยียรู้ เมิ่งจิ่วแค่นเสียง แล้วพูดกับอู๋เหยียว่า เจ้ามองพลาดไปแล้ว เนื้อหาของเพลงทุกประโยคถูกเขียนขึ้นอย่างระมัดระวัง แบบนี้มันผลงานของคนที่คิดแค่อยากจะรวยเร็วๆ ดังเร็วๆ เสียที่ไหนกัน ? หากอยากดังล่ะก็ แค่แต่งเนื้อเรื่องธรรมดาทั่วไปก็ดังได้แล้ว ไม่ต้องเสี่ยงเอาเรื่องชีวิตส่วนตัวขององค์หญิงมาแต่งเป็นละครเพลง การที่กล้าเสี่ยงทำแบบนี้ย่อมต้องมีความมุ่งหวังใดบางอย่างแอบแฝงอยู่

อู๋เหยียหันมามองจินอวี้อย่างตกตะลึง จินอวี้จึงพูดว่า ใช่ นางแต่งเนื้อเพลงแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์จริงๆ จุดประสงค์คือต้องการดึงความสนใจขององค์หญิงผิงหยาง เพื่อจะได้คบหากับองค์หญิง เมิ่งจิ่วมองหน้า แล้วพูดว่า เจ้ามีความทะเยอทะยานสูงนัก แล้วได้คิดบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองจะสามารถแบกรับผลลัพธ์ที่ตามหลังมาได้หรือไม่ ?

จินอวี้บอกว่า นางได้ลองตรองดูอย่างละเอียดแล้ว พบว่าสาเหตุที่สือฟังตกต่ำ มีได้ 3 อย่าง อย่างแรกคือระดับสูงของสือฟังไร้ความสามารถที่จะบริหาร ซึ่งนางได้เห็นแล้วว่าไม่ใช่ นอกจากนี้ นางยังสังเกตด้วยว่า ตอนที่สือฟังรุ่งเรืองที่สุดคือช่วงที่โต้วไทเฮากุมอำนาจ และเริ่มตกต่ำมาจนถึงเดี๋ยวนี้เมื่อตระกูลเว่ย(ตระกูลของฮั่วชวี่ปิ้ง)กุมอำนาจ ดังนั้นสาเหตุที่ 2 ที่เป็นได้คือ สือฟังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโต้วไทเฮา และสาเหตุที่ 3 สือฟังมีข้อกินแหนงอยุ่กับตระกูลเว่ย แต่เนื่องจากท่านแม่ทัพเว่ยชิง หัวหน้าตระกูลเว่ยเป็นคนระมัดระวังตัวเองและระวังไม่ให้ลูกหลานตัวเองไปก่อเรื่องอย่างมาก โอกาสที่สือฟังจะซบเซาขนาดนี้เพราะมีข้อกินแหนงกับตระกูลเว่ยจึงเป็นไปได้น้อยมาก ความเป็นไปได้เดียวที่เหลืออยู่จึงมีเพียง นายใหญ่รุ่นก่อนของสือฟัง พ่อของเมิ่งจิ่วมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโต้วไทเฮา

อู๋เหยียได้ยินที่จินอวี้อธิบายมาถึงค่อยเข้าใจ ส่วนเมิ่งจิ่วฟังเฉยๆ แล้วถามว่า ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วไยจึงทำเช่นนี้อีก ? จินอวี้บอกว่า หากเป็น 3-4 ปีก่อน นางก็คงไม่กล้าทำแบบนี้หรอก แต่ตอนนี้สถานการณืมีแนวโน้มเปลี่ยนไปแล้ว

เมิ่งจิ่วพูดว่า ในสือฟังมีคนงานอยู่หลายพันชีวิตที่ไม่ได้มีปัญญาหลักแหลมคิดแผนการเก่งเช่นเจ้า ไม่ทะเยอทะยานเช่นเจ้า และไม่สามารถนำปากท้องของคนในครอบครัวมาเล่นกับเจ้าได้ นับแต่วันนี้ไป ข้าขอขายลั่วอวี้ฟังให้เจ้า สือฟังกับลั่วอวี้ฟังไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกันอีก เจ้าจะบริหารลั่วอวี้ฟังอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า จากนั้นสั่งสือเทียนเจ้าพากลับคฤหาสน์

จินอวี้ฟังแล้วได้แต่ตกตะลึงนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น...

ขอบคุณคุณหลินโหม่วที่แปลเรื่องดีๆให้อ่านค่ะ