กำลังแสดงผล 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3

หัวข้อ: ลำนำทะเลทราย ตอนที่ 5

Hybrid View

คำตอบที่แล้วมา คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป คำตอบถัดไป
  1. #1
    Moderators สัญลักษณ์ของ สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    เกาหลี
    กระทู้
    750
    บล็อก
    30

    อ่านข่าวออนไลน์ ลำนำทะเลทราย ตอนที่ 5 -อวสาน

    จินอวี้บอก ก็มีสาวงามคนไหนบ้างเล่าที่มีน้องชายแบบท่านแม่ทัพเว่ยชิงและมีหลานชายเช่นเจ้า ฮั่วชวี่ปิ้งก็หัวเราะ บอกว่าตัวเขาอยู่นอกประเด็นล่ะมั้ง เพราะท่านแม่ทัพเว่ยชิงเห็นข้าเป็นแค่ไอ้หนุ่มสำรวย ชอบทำตัวเกะกะระรานวางอำนาจไปทั่วและใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่านั้น ท่านคงไม่อยากนับข้าเป็นหลานแล้วด้วยซ้ำกระมัง จินอวี้จึงมองหน้า แล้วถามว่า แล้วเจ้าใช่อย่างที่ท่านคิดไหมล่ะ ? ฮั่วชวี่ปิ้งหัวเราะ ย้อนถามว่า แล้วเจ้าคิดว่าใช่หรือเปล่าล่ะ ? พูดจบฮั่วก็ชี้ไปที่จานผลไม้ที่เอามาวางต้อนรับองค์หญิง บอก ช่วยป้อนผลไม้ให้เขาหน่อย จินอวี้บอก กินเองสิ ข้าไม่ใช่สาวใช้ในบ้านเจ้า ฮั่วชวี่ปิ้งหัวเราะจับมือจินอวี้แล้วพูดว่า ถ้าในบ้านเขามีสาวใช้แบบจินอวี้ เขาคงไม่ต้องถ่อมาลั่วอวี้ฟังแล้ว จินอวี้ปัดมือฮั่วทิ้ง ตั้งท่าเตรียมสู้ บอก ตอนนี้ไม่มีคน ห้องนี้ก็กว้างมากพอพอดี มาประลองกันสักตั้งเป็นไง ฮั่วชวี่ปิ้งทำหน้าหมดอารมณ์ทันที บ่นว่าจินอวี้นี่ทำลายบรรยากาศชะมัด จินอวี้เหน็บว่าเวลาอยู่ที่บ้าน ฮั่วชวี่ปิ้งคงชอบแหย่สาวใช้แบบนี้ประจำสิท่า ฮั่วชวี่ปิ้งบอก “เจ้าลองตามกลับไปค้างที่บ้านข้าสัก 2-3 วันเดี๋ยวก็รู้เอง เอาไหม ?” จินอวี้แค่นเสียง แล้วเลิกสนใจ

    ฮั่วชวี่ปิ้งบอกให้จินอวี้เรียกตัวหญิงงามคนที่ว่าอยากให้เข้าวังหลังมาให้ดูหน้าหน่อย เขาอยากเห็นว่ามีต้นทุนพอจะดำเนินโครงการของ “พวกเรา” หรือเปล่า

    จินอวี้มองหน้า ย้อนว่า “พวกเรารึ ?” ฮั่วพูดว่า “แล้วไม่ได้รึไง ?” จินอวี้จึงบอกว่า เข้าใจแล้ว แต่นางคิดว่าให้องค์หญิงผิงหยางเป็นคนออกหน้าน่าจะดีกว่า ฮั่วชวี่ปิ้งจึงบ่นว่า จินอวี้นึกว่าเขาเป็นพวกบ้าผู้หญิงจริงๆ น่ะรึ เขาน่ะไม่สนใจโครงการนี้ของจินอวี้หรอก เรื่องจะให้ประจบฮ่องเต้น่ะ เขาทำไม่ลง แค่ชอบเรียกเขากับจินอวี้โยงเข้าด้วยกันว่า “พวกเรา” ก็เท่านั้น เรื่องจำพวกพูดจาประจบหรือเสาะหาหญิงงามมาถวายเอาใจฮ่องเต้ ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่ไม่คิดจะลดตัวลงไปทำ หากอยากมีชื่อเสียงมีอิทธิพล อย่างเขามีหรือต้องอาศัยวิธีการแบบนี้ ? จินอวี้อยากเล่นกับเรื่องนี้ก็เล่นไปตามสบาย แต่ให้ระวังตัวเองโดนม้วนเข้าไปพัวพันแบบปลีกตัวออกมาไม่ได้ก็แล้วกัน



    หลังจากฮั่วชวี่ปิ้งกลับไปแล้ว หงกูก็หน้าอมทุกข์เข้ามาโวยที่เห็นจินอวี้ยังทำหน้าอารมณ์ดีอยู่ได้ทั้งที่โดนองค์หญิงสั่งห้ามเล่นละครต่อ จินอวี้ก็บอก องค์หญิงไม่ได้โกรธ เพราะถ้าโกรธ ย่อมต้องส่งคนมาออกคำสั่งห้ามแสดงละครตั้งแต่เพิ่งเปิดแสดงได้ไม่กี่วันแล้ว นี่องค์หญิงก็ต้องชอบและพอใจละครนี้เอาการอยู่ ถึงได้จงใจปล่อยให้แสดง เพื่อสร้างภาพเรื่องราวความรักระหว่างตัวองค์หญิงกับท่านแม่ทัพเว่ยชิงในแบบที่โรแมนติกมากนี้ลงในความคิดของชาวเมืองฉางอาน จากนั้นเมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรแล้ว จึงค่อยมาสั่งห้ามแสดง เพราะยังไงนี่ก็เป็นชีวิตส่วนตัวขององค์หญิง ก็ต้องแสดงรักษาความน่าเกรงขามเอาไว้บ้าง ให้ชาวบ้านชาวช่องได้มาดูกันนานเป็นเดือนจะไม่สมควร จึงให้เวลาแสดงให้คนดูกันพอหอมปากหอมคอก็พอ

    นอกจากนี้การที่เลือกละครเนื้อหานี้ก็ประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการแล้ว คือองค์หญิงมาดู หลี่เหยียนเหนียนได้โชว์ตัว(ต่อไปจะได้เข้าไปเป็นมือพิณในราชสำนักโดยการแนะนำขององค์หญิงหยางผิง) นางได้รู้จักกับองค์หญิง ลั่วอวี้ฟังโด่งดัง กำไรจากการขายตั๋วก็ได้มาอื้อซ่าแล้ว เรื่องนี้ถูกห้ามเล่น ก็เล่นเรื่องอื่นได้นี่ หลังจากนี้ลั่วอวี้ฟังมีแต่จะดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะขนาดองค์หญิงยังแวะมาชม

    ได้ฟังแบบนี้หงกูก็วางใจ ตอนนั้นสาวใช้เอากรงที่มีนกพิราบสื่อสารสีขาวอยู่สองตัวเข้ามาให้จินอวี้ บอกว่ามีคนฝากมาให้ แต่ไม่บอกว่าชื่ออะไร บอกแต่ว่าจินอวี้เห็นแล้วก็รู้เองว่าใครให้มา จินอวี้เห็นนกพิราบก็ถูกใจมาก คืนนั้นจึงแวะไปที่คฤหาสน์ตระกูลสือ ไปขอบคุณเมิ่งจิ่วที่ให้นกพิราบนาง และบอกว่านางตั้งชื่อนกพิราบว่า เสี่ยวเชียน(ย่อมาจากคำที่แปลว่า นอบน้อมถ่อมตน) กับ เสี่ยวถาว(ย่อมาจากคำที่แปลว่า ซุกซน) เพราะเสี่ยวเชียนดูอ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนเสี่ยวถาวซนร้ายกาจมาก เมิ่งจิ่วบอกว่านกพิราบสองตัวนี้เป็นตัวที่ครูฝึกบอกว่าฉลาดมากที่สุดในหลายปีที่ฝึกนกพิราบมา ให้จินอวี้ป้อนอาหารคนเดียวสักหนึ่งเดือน มันก็จะจำได้เองว่าจินอวี้คือนายของมัน จากนั้นเอานกหวีดสำหรับออกคำสั่งนกพิราบออกมายื่นให้ แล้วหยิบอีกอันออกมา สอนให้จินอวี้เป่าตามที่เขาเป่า

    คืนนั้นเมิ่งจิ่วสอนจินอวี้เป่านกหวีดออกคำสั่งนกพิราบอยู่นานมาก โดยมีเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงผสมเสียงโมโหแบบงอนๆ ดังออกมาเป็นระยะๆ เรียกได้ว่าเป็นคืนที่ทั้งสองมีความสุขกับการได้อยู่ด้วยกันอย่างมาก



    ขณะที่จินอวี้กำลังนั่งถือพู่กันค้างว่าจะเขียนอะไรดี นกพิราบเสี่ยวเชียนกับเสี่ยวถาวก็บินเข้ามาจากหน้าต่าง เสี่ยวเชียนบินลงเกาะขอบหน้าต่าง แต่เสี่ยวถาวบินตรงเข้ามาหาจินอวี้ จินอวี้รีบโยนพู่กันทิ้งหดมือทันที แต่ช้าไป โดนหยดหมึกจากเท้าเสี่ยวถาวกระเซ็นใส่เสื้อจนได้ จึงโมโหเปรี้ยง เพราะนี่เป็นเสื้อตัวที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่โดนแบบนี้ นางจึงคว้าคอเสี่ยวถาว หยิบผ้าจุ่มน้ำหมึกเอามาป้ายใส่ตัวมันให้เปลี่ยนจากพิราบขาวกลายเป็นอีกา

    ตอนนั้นเองเสียงปรบมือและหัวเราะของฮั่วชวี่ปิ้งก็ดังมาจากนอกหน้าต่างพร้อมกับพูดว่า “เยี่ยมจริงๆ รังแกนกพิราบ”

    จินอวี้หันไปตะคอกใส่แบบเดือดจัดว่า ข้าหรือรังแกมัน ? ไม่ลองถามมันดูบ้างล่ะว่ารังแกข้ามาตั้งกี่ครั้งแล้ว ! ตอนที่พูดดันเผลือคลายมือ เสี่ยวถาวจึงดิ้นหลุดจากมือ สะบัดปีก หยดหมึกกระเซ็นเต็มหน้าจินอวี้ทันทีก่อนจะบินหนีไป ฮั่วชวี่ปิ้งหัวเราะก๊าก จินอวี้เลยยิ่งเดือด ไล่ฮั่วชวี่ปิ้งออกไป บอก ใครอนุญาตให้เข้ามาไม่ทราบ ฮั่วชวี่ปิ้งหยิบผ้าจุ่มน้ำยื่นส่งให้เช็ดหน้า จินอวี้ค่อยหายโมโหหน่อย บอกขอบใจ หลังเช็ดเสร็จ ฮั่วก็ชี้ไปที่ใต้หู จินอวี้ก็เช็ดตาม ฮั่วชี้หน้าผาก จินอวี้ก็เช็ดตาม ฮั่วชี้ที่จมูก จินอวี้ทำท่าจะเช็ดตามแล้วชะงัก จ้องหน้าฮั่วชวี่ปิ้งสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนฮั่วชวี่ปิ้งกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น จินอวี้ปาผ้าใส่ กระชากเสียงว่า ไปอยู่เป็นคู่หูเสี่ยวถาวเลยไป๊ !

    ฮั่วชวี่ปิ้งเดินไปดูหนังสือ(ม้วนไผ่ ยุคนี้ยังไม่มีการประดิษฐ์กระดาษ)ที่จินอวี้อ่านค้างอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นตำราพิชัยสงคราม ก็ถามว่า นี่เจ้าคิดจะเป็นแม่ทัพหญิงหรือไง ? จินอวี้ติว่า แอบดูของของผู้อื่นโดยไม่รับอนุญาต ไม่ใช่พฤติกรรมของวิญญูชน ฮั่วชวี่ปิ้งบอก ข้าไม่ใช่วิญญูชน เจ้าก็ไม่ใช่กุลสตรี เข้าคู่กันได้พอดี จินอวี้เหลือบไปเห็นหลี่เหยียนเดินเข้ามาหา แล้วทำท่าจะเลี่ยงไปเพราะเห็นว่าจินอวี้มีแขกอยู่ จินอวี้จึงรีบเรียกให้นางเข้ามาหา ให้ฮั่วชวี่ปิ้งมองหน้า

    เมื่อหลี่เหยียนเข้ามาหา ฮั่วชวี่ปิ้งก็มองเขม็ง จินอวี้แกล้งพูดกับฮั่วชวี่ปิ้งว่า จะให้หาผ้าสักผืนมาให้เจ้าเช็ดน้ำลายไหม ? ฮั่วชวี่ปิ้งยิ้มชั่วร้าย บอก ไม่เป็นไร ยังกลั้นใจไหวอยู่ แล้วสั่งให้หลี่เหยียนปลดผ้าคลุมหน้าออก (ปกติหลี่เหยียนจะใส่ผ้าคลุมหน้าตลอด) หลี่เหยียนมองหน้าจินอวี้ เมื่อเห็นจินอวี้พยักหน้าและแนะนำว่านี่คือ “ฮั่วชวี่ปิ้ง” ก็ทำหน้าตกใจ ก่อนจะปลดผ้าออกตามคำสั่ง

    ฮั่วชวี่ปิ้งนิ่งมองหน้าหลี่เหยียนอยู่พักหนึ่ง ก็บอกให้ออกไปได้ หลังหลี่เหยียนไปแล้ว จินอวี้ถามว่าเป็นยังไง สู้เว่ยฮองเฮาตอนยังสาวรุ่นได้ไหม ? ฮั่วชวี่ปิ้งบอก เขาจำไม่ค่อยได้แล้วว่าสมัยยังสาวรุ่น น้าสาวเขาหน้าตาเป็นยังไง แต่คิดว่าหลี่เหยียนน่าจะสู้น้าเขาสมัยยังสาวรุ่นได้สบาย นอกจากนี้เมื่อเจอเขาจงใจมองด้วยสายตาไม่มีมารยาท ก็ยังรับมือสถานการณ์ได้ดี วางตัวดี สุขุมเยือกเย็น ไม่ทีท่าร้อนใจหรือโมโหสักนิด ในความอ่อนโยนแฝงความแข็งแกร่ง เก่งกว่าเจ้ามาก ! แต่เขาขอเตือนให้จินอวี้ระวังตัวเองให้ดีๆ หากจะทำเรื่องนี้

    จินอวี้เปลี่ยนเรื่องไปถามว่าที่มาหานี่มีธุระอะไรหรือ ? ฮั่วชวี่ปิ้งจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างจินอวี้กับสือฟัง ? จินอวี้บอก แยกกิจการกันแล้ว ฮั่วบอกว่า ถึงสือฟังจะไม่เฟื่องฟูเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังแกร่งมากอยู่ จินอวี้แยกตัวออกมาอย่างนี้จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต้านลมแรงนะ

    จินอวี้ “เพราะงั้นข้าถึงได้พยายามดึงองค์หญิงเข้ามาเป็นพวกยังไงเล่า”

    ฮั่วถามว่า “เจ้าคิดจะบริหารกิจการให้ใหญ่แค่ไหน ? ใหญ่ฟูเท่าสือฟังในยุคเฟื่องฟูงั้นรึ ?”

    จินอวี้ “ข้าไม่รู้ ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นละมัง”

    ฮั่วชวี่ปิ้งหัวเราะ บอกว่า เมิ่งจิ่วนายใหญ่ของสือฟังก็เป็นคนที่แปลกดีเอาการอยู่เหมือนกัน ได้ยินว่าแม่ของเขาน่ะ สมัยยังเด็กสนิทกับฮั่นอู่ตี้มาก ตอนเขายังเล็ก ฮั่นอู่ตี้ยังเคยอุ้มเขามาแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับไม่ยอมเข้าไปในวังเลย ขนาดว่าฮั่นอู่ตี้เรียกตัวไปพบ เขายังหาข้ออ้างปฏิเสธทุกครั้ง เขายังไม่เคยเห็นคนแบบนี้ในเมืองฉางอานมาก่อน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะพบหน้าสักครั้ง (ตอนที่มีโอกาสได้พบเข้าจริงๆ นายแทบจะเข้าไปชกหน้าเขาในฐานะศัตรูหัวใจนะฮั่วชวี่ปิ้ง...)

    จากคุณ : Linmou


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน; 03-04-2012 at 10:10. เหตุผล: เพิ่มตอน

  2. #2
    Moderators สัญลักษณ์ของ สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    เกาหลี
    กระทู้
    750
    บล็อก
    30

    อ่านข่าวออนไลน์ ลำนำทะเลทรายตอนที่ 6

    หลังจากฮั่วชวี่ปิ้งกลับไปแล้ว จินอวี้ก็ไปพบหลี่เหยียนเพื่อตะล่อมถามให้รู้ชัดเจนถึงจุดประสงค์ที่หลี่เหยียนต้องการเข้าวังหลัง และได้ความดังนี้

    แม่ของหลี่เหยียนเป็นชาวฮั่น เป็นสาวใช้ของพ่อที่เป็นชาวโหรวหลาน

    แคว้นโหรวหลานเป็น 1 ในหลายๆ แคว้นในซีอวี้ และอยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นดินฮั่นกับแผ่นดินซยงหนู เวลาฮั่นกับซยงหนูทำสงครามกัน ชาวโหรวหลานได้โดนลูกหลงเป็นหญ้าแพรกที่ถูกเหยียบทุกที พ่อของหลี่เหยียนถูกทรมานจนตายเพราะปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำขอที่ไร้เหตุผลของทูตจากแผ่นดินฮั่น ตอนนั้นแม่ของหลี่เหยียนเพิ่งจะตั้งท้องได้แค่หนึ่งเดือน ต่อมาก็ได้พ่อเลี้ยงช่วยชีวิตเอาไว้ แม่จึงตอบแทนด้วยการเป็นภรยาและเลี้ยงดูลูกติดทั้งสองของสามีใหม่อย่างดี เมื่อหลี่เหยียนเกิดมาก็ใช้แซ่ตามพ่อเลี้ยง ดังนั้นหลี่เหยียนกับพี่ชายทั้งสองไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่เพราะแม่เลี้ยงดูแลดีมาก พี่ชายทั้งสองและพ่อจึงไม่เคยมองว่านางไม่ใช่เชื้อสายเดียวกันเลย แถมในบ้าน เสียงของหลี่เหยียนดังที่สุด เพราะนางฉลาดที่สุด นางพูดอะไร พี่ใหญ่กับพ่อเป็นต้องเออออตามตลอด เหมือนที่ครั้งนี้หลังจากพ่อเสีย หลี่เหยียนบอกให้มาที่แงอาน หลี่เหยียนเหนียนที่กลายมาเป็นผู้ปกครองของน้องๆ ก็ทำตาม

    แม่ของหลี่เหยียนแค้นมากที่เจ้านายและสามีถูกฆ่าอย่างทารุณ ตั้งแต่หลี่เหยียนเกิดมา นางจึงสอนแบบไม่ให้ลืมความแค้น และสั่งตลอดว่าให้หลี่เหยียนหาทางแก้แค้นแทยพ่อให้จงได้ ทั้งยังพาหลี่เหยียนกบับไปที่โหรวหลานทุกปี จนกระทั่งก่อนจะตาย ยังสั่งให้หลี่เหยียนรับปากว่าจะหาทางแก้แค้นแทนพ่อให้จงได้ หลี่เหยียนจึงตัดสินใจมาที่เมืองหลวงเพื่อจะเข้าไปอยู่ในวังหลัง ทำตัวให้ฮ่องเต้โปรดปราน เพื่อที่ลูกของนางจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป แล้วเลิกทำสงคราม แคว้นโหรวหลานและแคว้นอื่นๆ ในซีอวี้จะได้สงบสุขเสียที

    ตอนที่คุยกับเมิ่งจิ่ว จินอวี้เคยได้ยินเมิ่งจิ่วพูดถึงชาวบ้านในซีอวี้เหมือนกันว่ามีชีวิตที่น่าสงสารมาก พื้นดินทุรกันดารเพาะปลูกไม่ค่อยได้ เกิดภัยแล้งบ่อยๆ ยังไม่พอ ยังต้องมาเจอภัยสงครามอีก แม้เขาจะชื่นชมปณิธานที่คิดขยายดินแดนสร้างอาณาจักรของตนให้ยิ่งใหญ่ของฮั่นอุ่ตี้ แต่ก็เห็นใจชาวซีอวี้ที่ต้องมาถูกลูกหลงตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่มากกว่า

    หลังจากฟังที่หลี่เหยียนเล่าจบ จินอวี้ก็ตัดสินใจที่จะช่วยหลี่เหยียน



    หลังปลีกตัวจากหลี่เหยียนแล้ว หงกูก็มาหาจินอวี้ ส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้ บอกว่า คุณชายสาม หลีก่าน เก็บได้ในสวนของลั่วอวี้ฟัง จึงวานให้ช่วยหาเจ้าของส่งคืน แล้วบอกเขาด้วยว่าใครคือเจ้าของ

    หลีก่าน เป็นลูกชายคนที่สาม(คนเล็ก)ของแม่ทัพหลีก่วง ตระกูลของหลีก่วงเป็นแม่ทัพมาตั้งแต่ยุคต้นราชวงศ์ฮั่น เป็นตระกูลนักรบที่โด่งดังเป็นที่นับหน้าถือตา หลีก่วงรบแพ้บ้างชนะบ้าง ผลงานขึ้นๆ ลงๆ แต่ลูกชายทั้งสามคนของเขาต่างได้รับแต่งตั้งให้เป็น “โหว” ทั้งสามคน (บรรดาศักดิ์เทียบเท่ามาร์ควิส) ลูกชายสองคนแรกเสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว เหลือแต่หลีก่านคนเดียว เป็นหนุ่มโสดหน้าตาและฝีมือดี ชาติตระกูลก็ดี เรียกว่าเป็นหนุ่มโสดที่เนื้อหอมที่สุดในเมืองฉางอานพอๆ กับฮั่วชวี้ปิ้ง แถมน่าจะเนื้อหอมกว่าฮั่วชวี่ปิ้ง เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนฮั่วชวี่ปิ้งหล่อและเก่งมากก็จริง แต่นิสัยไม่น่าเข้าใกล้ ไม่ค่อยมีใครชอบ

    บนผ้าเช็ดหน้านั้นปักตัวอักษร “หลี่” อยู่ แค่ได้เห็นรูปร่างของตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันเหมือนเถาวัลย์ ดูสวยแปลกตามาก จินอวี้ก็รู้ทันทีว่าผ้าเช็ดหน้านี้เป็นของหลี่เหยียน รู้ด้วยว่าหลี่ก่านต้องนึกหลงรักเจ้าของตัวหนังสือนี้ และขืนให้ได้เห็นตัวจริง พี่แกมีหวังหลงหัวปักหัวปำแน่ๆ ตอนนี้หลี่เหยียนเตรียมพร้อมรับการอบรมเพื่อเตรียมเข้าวังหลัง เพราะฉะนั้นอย่าให้หลี่ก่านรู้ว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้านี้คือหลี่เหยียนจะดีกว่า คิดได้ดังนี้จินอวี้จึงสั่งให้หงกูพาผู้หญิงในหอที่แซ่หลี่คนอื่นคนไหนสักคนไปให้หลี่ก่านดูตัว แล้วบอกว่านี่แหละเจ้าของผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเผาผ้าเช็ดหน้าทิ้ง แล้วห้ามกงกูเอาเรื่องผ้าเช็ดหน้านี้ไปบอกใคร หงกูได้แต่ถอนหายใจว่าอุตส่าห์นึกว่าหลี่เหยียนจะได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ แล้วเชียว



    คืนนั้น เสี่ยวเชียนกับเสี่ยวถาวก็เอาข้อความจากเมิ่งจิ่วมาถึงจินอวี้ เมิ่งจิ่วเขียนบ่นมาว่า เสี่ยวถาวไปก่อเรื่องอะไรเข้าให้ล่ะถึงได้กลายเป็นอีกาแบบนั้น แล้วจินอวี้ทะเลาะกับเสี่ยวถาว เขากลับโดนหางเลขไปด้วย เพราะวันนี้ใส่ชุดสีขาวพอดี มาโดนเสี่ยวถาวเกาะเลยจบกัน ชุดที่ใส่เสียไปเลย แถมยังต้องเสียเวลาช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวถาวอีก ตบท้ายด้วยถามว่าอาการเจ็บคอที่บอกครังก่อนเป็นยังไงบ้าง ได้ต้มยาตามที่เขาสั่งทานหรือเปล่า ?

    จินอวี้ตอบไปว่า ต้มยาตามที่บอกแล้ว แต่บอระเพ็ดมันขมไปหน่อย เลยแอบลดปริมาณลง เมิ่งจิ่วก็ตอบมาว่า อย่าลดปริมาณบอระเพ็ด ถ้ากลัวขมก็ใส่น้ำตาลเพิ่มเข้าไปแล้วกัน

    ก่อนนอน จินอวี้นั่งลงเขียนบันทึกของตัวเองที่มีต่อเมิ่งจิ่วลงในผืนผ้าสีขาว นางทำแบบนี้มาได้พักหนึ่งแล้ว บันทึกที่เขียนในวันนี้คือ นางลองค้นในตำราดู พบว่า ดอกเงินทอง เป็นดอกไม้ที่ช่วงแรกที่ดอกบานจะมีสีขาว จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเนื่องจากแต่ละช่อมักจะมีดอกสองดอก โดยดอกแรกจะบานก่อน จนเมื่อดอกแรกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกที่สองจึงจะเริ่มบาน กลายเป็นมีดอกสีเงินและทองในช่อเดียวกัน ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ดอกยวนยาง เพราะเหมือนนกยวนยางที่อยู่เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่าโรยรา

    จากนั้นเขียนถึงเรื่องที่ไปคุยกับหลี่เหยียนมาในวันนี้ และบอกว่า นางดูออกว่าไม่ว่าจะมีนางช่วยหรือไม่ หลี่เหยียนก็ต้องหาทางให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในวังหลังจนได้อยู่ดี นางจึงแค่พายเรือตามน้ำ ขายน้ำใจครั้งนี้ให้หลี่เหยียนเท่านั้น

    หลังจากนั้นจินอวี้ก็ไปขอเข้าเฝ้าองค์หญิงผิงหยางและบอกว่านางมีคนที่จะเสนอให้องคหญิงพิจารณาส่งเข้าวังหลัง เป็นน้องสาวของหลี่เหยียนเหนียน องค์หญิงบอก ถ้าหน้าตาสวยได้สัก 6-7 ของหลี่เหยียนเหนียนก็ใช้ได้แล้ว จินอวี้จึงบอกว่า เกรงว่าหน้าตาจะได้ 8 ส่วนของหลี่เหยียนเหนียน องค์หญิงจึงอนุญาตให้จินอวี้พาหลี่เหยียนมาให้นางดูตัว



    จินอวี้กับหงกูช่วยติวเข้มให้หลี่เหยียนเป็นพิเศษก่อนถึงวันที่จะพาไปให้องค์หญิงผิงหยางดูตัว โดยสอนสารพัดมารยาหญิงที่จำเป็นต้องเรียนรู้เอาไว้สู้รบตบมือในวังหลัง รวมถึงให้อ่านหนังสือจำพวกกาลามสูตรที่จินอวี้ไปขอให้ฮั่วชวี่ปิ้งหามาให้ (ฮั่วชวี่ปิ้งถามด้วยว่าเอาไปอ่านเองหรือให้ใครอ่าน ถ้าเอาไปอ่านเอง มีอะไรไม่เข้าใจมาถามได้ เขายินช่วยอธิบาย เลยโดนจินอวี้ยันหน้าหงายไป) จนถึงวันที่พาไปให้องค์หญิงดูตัว หงกูก็ช่วยจัดฉากให้หลี่เหยียนไปยืนอยู่ริมสระน้ำ ใต้เงาไผ่ ตอนอาทิตย์อัสดง โดยบอกว่าคนแต่ละคนมีบุคลิกที่แผ่ออกมาจากภายในตัวไม่เหมือนกัน ด้วยบุคลิกของหลี่เหยียน ต้นไผ่จะช่วยเสริมให้ดูดียิ่งขึ้น องค์ประกอบด้านภูมิประเทศอื่นๆ ก็ช่วยเสริมในด้านการสร้างความประทับใจแรกพบหน้า และแผนการนี้ของหงกูก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆ ทั้งยังจุดประกายให้องค์หญิงผิงหยางส่งหลี่เหยียนไปปรากฏตัวต่อหน้าฮั่นอู่ตี้เป็นครั้งแรกโดยผ่านการจัดฉากอย่างประณีต

    ฉากที่ถูกจัดที่ว่าคือในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดขององค์หญิงผิงหยาง จินอวี้กับหงกูได้รับเชิญไปในงานด้วยเป็นงานเลี้ยงกลางแจ้งริมสระเวลากลางคืน ฮั่วชวี่ปิ้งก็ไปในงานนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจินอวี้ก็ได้รับเชิญ บวกกับจินอวี้และหงกูนั่งอยู่ใต้เงามืดของต้นไม้ ฮั่วชวี่ปิ้งจึงมองไม่เห็น แต่จินอวี้กับหงกูจะมองเห็นทุกความเคลื่อนไหวภายในงานเลี้ยงอย่างชัดเจนโดยไม่มีใครรู้

    เมื่อมาเห็นฮั่วชวี่ปิ้งเวลาที่ไม่ได้อยู่กับตัวเอง จินอวี้ถึงได้เห็นว่าฮั่วชวี่ปิ้งนี่เย็นชามาก และไม่คบใครเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยง พี่แกนั่งหน้าเย็นชาไม่พูดไม่คุยกับใครสักคน และไม่มีใครชวนเขาคุยสักคนเช่นกัน มีแค่ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเศษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงคนเดียวที่ยกจอกเหล้ายิ้มคารวะมาให้แต่ไกล และฮั่วชวี่ปิ้งก็คารวะตอบ จินอวี้จึงถามว่าชายหนุ่มคนนั้นคือใคร ? หงกูตอบว่า หลีก่าน ลูกชายคนเล็กของท่านแม่ทัพหลีก่วง คนที่เก็บผ้าเช็ดหน้าของหลี่เหยียนได้นั่นแหละ

    องค์หญิงผิงหยางเปิดตัวหลี่เหยียนด้วยการโผล่มารำอยู่บนผิวน้ำ หลี่เหยียนรำเก่งมาก บวกกับบรรยากาศให้ ดูแล้วเหมือนนางฟ้าเหาะจากสวรรค์ลงมาร่ายรำอยู่เหนือผืนน้ำจริงๆ แลใบหน้ามีผ้าบังอยู่ ทำให้ยิ่งดูลึกลับกระตุ้นความอยากรู้เข้าไปใหญ่ บวกกับคนที่ดีดพิณเป็นทำนองให้หลี่เหยียนร่ายรำคือหลี่เหยียนเหนียนพี่ชายที่องค์หญิงพาตัวเข้ามาเป็นมือพิณประจำราชสำนัก ทั้งเพลงที่ดีดยังเป็นเพลงที่หลี่เหยียนเหนียนแต่งให้น้องสาวตามที่น้องสาวขอ เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของฮั่นอู่ตี้โดยเฉพาะ เนื้อความเอ่ยถึงหญิงผู้งามเลิศล้ำ เพียงยลหน้านางหนึ่งครั้งก็ล่มเมือง ยลอีกครั้งก็ล่มชาติ

    การจัดฉากในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ฮั่นอู่ตี้บอกองค์หญิงให้พาตัวหลี่เหยียนมาเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ การจัดฉากนี้ยังกระชากหัวใจของหลีก่านให้ตกหลุมรักหลี่เหยียนอย่างจังทั้งที่ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าที่เขาเก็บได้และเฝ้าฝันถึงคือหลี่เหยียน (หงกูทำตามคำสั่งของจินอวี้ พาสาวในหอคนอื่นไปให้หลีก่านดูแล้วบอกว่านี่แหละเจ้าของผ้าเช็ดหน้า หลีก่านได้แต่ผิดหวังอย่างมาก)

    ในงานเลี้ยงนี้ นอกจากฮั่นอู่ตี้แล้ว เว่ยฮองเฮาก็เสด็จมาด้วย รวมทั้งเว่ยชิงที่เป็นสามีขององค์หญิง ตอนที่หลี่เหยียนปรากฏตัวขึ้นร่ายรำและตะลึงมอง สายตาทุกคู่ต่างจ้องไปที่หลี่เหยียน มีแต่ฮั่วชวี่ปิ้งกับกับเว่ยชิงที่มองไปยังเว่ยฮองเอาอย่างเป็นห่วง

    หลังงานเลี้ยง จินอวี้รู้สึกผิดต่อเว่ยฮองเฮาและฮั่วชวี้ปิ้ง จึงให้หงกูกลับไปก่อน ตัวเองกะจะเดินไปที่คฤหาสน์ตระกูลสือระบายความรู้สึกผิดให้เมิ่งจิ่วฟัง แต่บังเอิญเจอฮั่วชวี่ปิ้งที่หน้าวังองค์หญิง ฮั่วชวี่ปิ้งจึงเพิ่งรู้ว่าจินอวี้มางานนี้ด้วยและเดินไปเป็นเพื่อน จินอวี้เอ่ยขอโทษฮั่วชวี่ปิ้ง ฮั่วชวี่ปิ้งบอกช่างเถิด ถึงแม้ว่าการรู้อยู่ก่อนกับเมื่อเรื่องเกิดขึ้นจริง ความรู้สึกจะเป็นคนละเรื่อง แต่ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น และถึงวันนี้จินอวี้ไม่ทำ วันหน้าคนอื่นก็ต้องทำ แค่เวลาอาจจะทอดยาวออกไปอีกนิดเดียว

    ฮั่วชวี่ปิ้งนึกว่าจินอวี้จะกลับลั่วอวี้ฟัง จึงพาเดินไปตามทางที่กลับลั่วอวี้ฟัง ซึ่งตามเส้นทางต้องผ่านหอนางโลมเทียนเซียงฟังคู่แข่ง เมื่อเดินผ่านหัวเลี้ยวมาถึงที่ตัดผ่านหน้าเทียนเซียงฟัง ก็เห็นว่าหน้าเทียนเซียงฟังกำลังมีกลุ่มลูกค้า 4-5 คนกำลังจะจากไปพอดี โดยมีแม่เล้าของเทียนเซียงฟังออกมาส่งด้วยตัวเอง แสดงว่าฐานะของแขกใหญ่โตมาก จินอวี้จึงมองหน้าแขกที่ว่าซึ่งยังอยู่ไกลโดยไม่ได้ตั้งใจ

    ปรากฏหนึ่งว่าในกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะจากไปนั้นคือ....อีจื้อเสีย

  3. #3
    Moderators สัญลักษณ์ของ สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    เกาหลี
    กระทู้
    750
    บล็อก
    30

    อายหน้าแดง ลำนำทะเลทราย ตอนที่ 7

    จินนอวี้หน้าซีดตัวแข็งทื่อทันที หันหลังกลับหาทางหนีหรือซ่อนตัว แต่ไม่เห็นที่ไหนที่จะซ่อนตัวได้เลย ฮั่วชวี่ปิ้งคว้าแขนจินอวี้ ถ้าว่า “เจ้ากำลังกลัวอะไรกัน ?” จินอวี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนั้นเดินตรงมาทางนางกับฮั่วชวี่ปิ้ง ก็หันไปกอดฮั่วชวี่ปิ้งแน่น ซ่อนหน้ากับอก ฮั่วชวี่ปิ้งเอามือโอบจินอวี้ไว้ พูดเบาๆ ที่ข้างหูว่า “มีข้าอยู่ ในเมืองฉางอานนี้ไม่มีใครมาทำอันตรายเจ้าได้” ตามองกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมาซึ่งแม้จะแต่งกายแบบชาวฮั่น แต่หน้าตาบอกชัดว่าไม่ใช่ชาวซยงหนูก็ชาวซีอวี้ จึงเข้าใจทันทีว่าพวกนี้ต้องเป็นคนรู้จักเก่าของจินอวี้แน่ๆ

    หนึ่งในองครักษ์ของอีจื้อเสียเห็นหนุ่มสาวมายืนกอดกัน ก็พูดจาดูถูกจินอวี้ ฮั่วชวี่ปิ้งเดือดทันที กะจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่จินอวี้รีบกอดแน่นห้ามเอาไว้ บวกกับอีจื้อเสียก็พูดปรามคนของตัวพร้อมกับขอโทษฮั่วชวี่ปิ้ง

    แต่ยังไม่จบเรื่อง องครักษ์ที่เดินอยู่หลังสุดจงใจแกล้งฮั่วชวี่ปิ้งกับจินอวี้ด้วยการขว้างอาวุธลับเป็นเข็มเข้าใส่ตอนเดินผ่านแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า โชคดีที่ฮั่วชวี่ปิ้งวิทยายุทธ์สูงมาก จึงมองเห็นและหันทั้งตัวเขาและจินอวี้หลบทัน ฮั่วชวี่ปิ้งเลือดขึ้นหน้าสุดๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือเพราะจินอวี้พยายามรั้งเอาไว้สุดชีวิต หลังจากพวกอีจื้อเสียจากไปแล้ว จินอวี้ก็คลำๆ หาเข็มอาวุธลับที่ถูกซัดเข้ามาใส่เมื่อครู่ บอกว่านางรู้จักคนที่ซัดเข็มนี่ เป็นผู้หญิง ส่วนหัวหน้าของคนกลุ่มนั้นคือใคร จินอวี้ไม่ได้บอก ฮั่วชวี่ปิ้งก็ไม่ได้ถาม และบอกว่าสักวันเมื่อเจ้าเต็มใจจะเล่า เจ้าย่อมจะเล่าให้ข้าฟังเอง

    จินอวี้ก็นิ่ง ขณะที่นึกสงสัยมากว่าอีจื้อเสียมาที่ฉางอานทำไม



    นับจากคืนนั้นที่ได้รู้ว่าตอนนี้อีจื้อเสียอยู่ในฉางอาน จินอวี้ก็กลัวที่จะบังเอิญเจออีจื้อเสียมากจนพยายามไม่ออกไปจากลั่วอวี้ฟัง วันๆ อยู่แต่ในหอฝึกเป่าขลุ่ยเป็นเพลงสารภาพรัก จนวันหนึ่ง ฮั่วชวี้ปิ้งก็โผล่มาแกล้งพูดแหย่ให้โมโห แล้วโดนไล่กลับไป หลังฮั่วชวี่ปิ้งกลับไป หงกูก็โผล่มาทักว่า จินอวี้ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมานะ จินอวี้จึงเพิ่งได้คิดว่าเพราะได้ระบายอารมณ์ออกไป ความอึดอัดหวาดกลัวจึงค่อยคลายลง และแอบสงสัยว่าฮั่วชวี่ปิ้งจงใจมาหาเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรือเปล่า ?

    หงกูกับจินอวี้เดินทอดน่องเล่นในลั่วอวี้ฟังระหว่างคุยเรื่องธุรกิจกันไปพลาง ตอนนี้จินอวี้ซื้อกิจการหอนางโลมจากเมิ่งจิ่วมาได้หลายแห่งแล้ว ระหว่างที่เดินคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงแขกคนหนึ่งพยายามลวนลามสาวในหอ จึงโผล่ออกไปช่วย (ตอนนี้ลั่วอวี้ฟังดังที่สุดในฉางอาน และมีพวกคนใหญ่คนโตมาเที่ยวกันมาก จึงไม่มีใครกล้ามารังแกหรือบังคับใจสาวในหอหากสาวในหอไม่เต็มใจ) ปรากฏว่าแขกที่ลวนลามสาวในหอคนนั้นคือ มู่ต๋าตัว...หนึ่งในสามเพื่อนสนิทสมัยยังอยู่ในเผ่าซยงหนูของจินอวี้ (อวี๋ตัน, รื่อ, มู่ต๋าตัว)

    มู่ต๋าตัวเป็นผู้หญิง ปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้ามาเที่ยวหอนางโลมแล้วอยากแกล้งสาวๆ ในหอเล่น เมื่อเห็นจินอวี้ มู่ต๋าตัวก็จำได้ทันที จินอวี้หลบไม่พ้น จึงจำต้องคุยด้วย และบอกว่าเห็นมู่ต๋าตัวกับอีจื้อเสียตั้งแต่เมื่อหลายคืนก่อนแล้ว คนที่ซัดเข็มใส่ฮั่วชวี่ปิ้งเมื่อคืนก่อนก็คือมู่ต๋าตัวนี่เอง

    มู่ต๋าตัวดีใจมากที่ได้เจอจินอวี้ และบอกว่า หลังจากจับตัวอวี๋ตันได้ อีจื้อเสียก็พยายามถามถึงร่องรอยของจินอวี้ แต่จนตายอวี๋ตันก็ยืนกรานว่าจินอวี้ตายแล้ว ทำให้อีจื้อเสียเสียใจมาก จินอวี้จึงเพิ่งได้ทราบว่าหลังจากปล่อยนางลงจากหลังม้าพร้อมกับบอกให้กลับไปอยู่กับฝูงหมาป่า อวี๋ตันก็ถูกจับตัวไปขังไว้และป่วยตาย มู่ต๋าตัวพยายามพูดให้จินอวี้เห็นใจว่าอีจื้อเสียเองก็เสียใจกับการฆ่าตัวตายของพ่อบุญธรรมจินอวี้ และยิ่งเสียใจมากกว่าหลายเท่าตอนที่รู้ว่าจินอวี้ตายแล้ว อีจื้อเสียไม่ยอมเชื่ออยู่พักใหญ่

    จินอวี้พูดว่า คนอย่างอีจื้อเสียนั้น เขายินดีฆ่าคนอื่นให้ตายแล้วมานั่งเสียใจต่อการตายของคนคนนั้นมากกว่าปล่อยให้คนคนนั้นรอด ทำให้มู่ต๋าตัวอึ้งมาก จินอวี้บอกว่านางอยู่ในฉางอานนี่ก็สบายดีแล้ว ไม่คิดจะกลับไปซยงหนู ยิ่งไม่คิดจะกลับไปแก้แค้นอีจื้อเสียหรืออะไรทั้งสิ้น เพราะนางสัญญากับพ่อไว้แล้วว่าจะไม่แก้แค้น จากนั้นจึงถามถึงความเป็นอยู่ของมู่ต๋าตัวในตอนนี้

    มู่ต๋าตัวบอกว่า ตอนที่อีจื้อเสียเพิ่งก่อกบฏ และพ่อบุญธรรมของจินอวี้ฆ่าตัวตาย นางก็แค้นอีจื้อเสียจนคิดจะลอบเข้าไปฆ่าเหมือนกัน แต่พอไปถึงหน้ากระโจม และเห็นอีจื้อเสียนั่งเงียบซึมอยู่คนเดียว ดูอ้างว้างโดดเดี่ยวมาก นางก็ทำไม่ลง และคิดว่าที่อีจื้อเสียก่อกบฏ คงจะมีเหตุผลที่สมควรเป็นแน่ หลังจากนั้นนางจึงตัดสินใจติดตามเป็นองครักษ์ของอีจื้อเสีย และอีจื้อเสียก็ดีกับนางมากจนพระชายาที่เวลานี้ได้เลื่อนเป็นเยียนจือเกลียดหน้านาง อย่างมาฉางอานครั้งนี้ เดิมทีนางไม่ได้มาด้วย แต่นางร้องขอตามมา อีจื้อเสียก็อนุญาต ทำให้เยียนจือยิ่งเกลียดขี้หน้านางเข้าไปใหญ่ ตอนนี้นางรักและภักดีกับอีจื้อเสียคนเดียว หากเขาออกปากรับนางเป็นสนม นางก็จะตกลง

    จินอวี้หัวเราะว่าสมแล้วที่เป็นสาวชาวซยงหนู กล้าหาญและเปิดเผยตรงไปตรงมามาก ขอร้องมู่ต๋าตัวว่าอย่าบอกอีจื้อเสียว่านางยังไม่ตาย ปล่อยให้เข้าใจว่านางตายไปแล้วนั่นแหละดีแล้ว มู่ต๋าตัวก็รับปาก และบอกว่าพรุ่งนี้อีจื้อเสียก็จะเดินทางออกจากเมืองฉางอานแล้ว ทำให้จินอวี้โล่งอก



    ผ่านไปอีกหลายวัน วันปีใหม่(ตรุษจีน)ใกล้เข้ามา เมิ่งจิ่วเชิญจินอวี้ไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเขา เขามีของกินจะเลี้ยง จินอวี้ก็รับเชิญอย่างยินดี

    เมื่อไปถึงคฤหาสน์ตระกูลสือ เมิ่งจิ่วก็ยิ้มทัก แล้วถามว่าครั้งก่อนที่บอกว่าปวดไหล่หายดีหรือยัง ? จินอวี้ก็บอกว่าหายดีแล้ว และถามว่าเมิ่งจิ่วจะเลี้ยงอะไรนางหรือ ? เมิ่งจิ่วบอก เดี่ยวก็รู้

    ปรากฏว่าอาหารที่เมิ่งจิ่วจะเลี้ยงคือเส้นหมี่ พร้อมกับบอกว่านี่เป็นหมี่อายุยืนที่ให้ทานฉลองวันเกิด จินอวี้บอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดนางสักหน่อย (ความจริงคือจินอวี้ไม่รู้วันเกิดของตัวเอง) เมิ่งจิ่วบอกว่า ไม่ว่าใครก็ต้องมีวันเกิดของตัวเองกันทั้งนั้น เขาขอตั้งวันนี้เป็นวันเกิดของจินอวี้ก็แล้วกัน เพื่อที่ในวันนี้ทุกคนจะได้ร่วมฉลองให้กับจินอวี้ด้วย จินอวี้ฟังแล้วตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ เมื่อก่อนนางชอบกินแต่เนื้อ มีแต่บะหมี่ชามนี้ที่รู้สึกว่าอร่อยยิ่งกว่าอาหารที่เคยกินมาทั้งหมด

    หลังจากทานหมี่เสร็จ จินอวี้ก็บอกว่าตอนนี้นางเรียนเป่าขลุ่ยจนเป่าได้อีกเพลงแล้ว อยากจะเป่าให้เมิ่งจิ่วฟัง เมิ่งจิ่วก็ถามว่าเพลงอะไร ? จินอวี้บอก ลองฟังดูก็แล้วกันว่าท่านรู้จักเพลงนี้ไหม เมิ่งจิ่วจึงหยิบขลุ่ยหยกมา เอาผ้าเช็ดตรงปากขลุ่ยจนสะอาด แล้วส่งให้ (ก่อนหน้านี้ ตอนที่จินอวี้นั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนหลังคา แล้วเมิ่งจิ่วโผล่มาเป่าแบบถูกต้องให้ฟัง จินอวี้ลงจากหลังคามานั่งคุยด้วยในห้อง เห็นขลุ่ยที่เมิ่งจิ่วใช้เป็นขลุ่ยหยกสวยมาก ก็ชอบใจ หยิบมาลองเป่าเล่น แล้วขลุ่ยนั้นเมิ่งจิ่วเพิ่งเป่าไปหมาดๆ ยังไม่ได้เช็ด จึงเหมือนจูบทางอ้อม ตอนแรกจินอวี้ไม่รู้ตัว แต่เห็นสายตาเมิ่งจิ่วมองมาแล้วเบือนหนีถึงได้รู้ ทำเอาหน้าแดงไปเลย)

    จินอวี้รับมาแล้วเป่าเพลงสารภาพรักที่ฝึกมากว่าพันรอบนั้น ทั้งที่ฝึกเป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าพันรอบ พอมาเป่าจริงยังตื่นเต้นจนเสียงขลุ่ยสั่นเล็กน้อย

    หลังจากเป่าจบ จินอวี้ก็นั่งก้มหน้านิ่ง รอคอยปฏิกิริยาของเมิ่งจิ่ว

    มีแต่ความเงียดสงัดจนวังเวง เงียบ...จนเหมือนอากาศผนึกแข็ง ก่อนที่เมิ่งจิ่วจะพูดเสียงเรียบเฉยติดจะเย็นชา สีหน้าราบเรียบ

    “ฟังไม่คุ้นหู ทำนองเพลงก็ไม่เลวอยู่ แต่เจ้าเป่าได้ไม่ดี ฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าจงกลับไปเถิด !”

    เหมือนหัวใจถูกฉีกกระชาก เจ็บจนตัวสั่นเบาๆ จินอวี้เงยหน้าขึ้นมองเมิ่งจิ่วด้วยสายตาเจ็บปวด แต่เมิ่งจิ่วเบือนหน้าหลบ ไม่ยอมสบตาด้วย หลังจากนิ่งจ้องอยู่ครู่หนึ่งโดยที่เมิ่งจิ่วทำเป็นเมิน มองไม่เห็นคำถามว่า “ทำไม ?” กับความเจ็บปวดในดวงตาของนาง จินอวี้ก็ตัดสินใจที่จะกลับบ้านไปเสียในตอนนี้ที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่ได้แตกหักโดยสิ้นเชิง จึงลุกขึ้นยืนเดินไปจะเปิดประตู ถึงค่อยรู้ตัวว่ามือยังกำขลุ่ยอยู่ และกำแรงเกินไปจนเล็บจิกลงในเนื้อ เลือดไหลออกมาเปื้อนตัวขลุ่ย นางเดินกลับไปวางขลุ่ยลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกจากประตูไปเงียบๆ

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •