ผมเริ่มมีความสุขกับการขาย เพราะวันแรกขายได้ 5 -6 คู่ วันที่ 2 ขายได้เกือบ 20 คู่ หลังเลิกงานแฟนผมก็แอบไปดูให้กำลังใจ ถามผมว่า "อ้ายบ่อายคนตี๊" เธอเดินไปดูและไปช่วยขายในวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกดีใจและมีกำลังใจขึ้น
รองเท้าเหลือ 5 คู่ ถ้าไปวางขายก็ดูน้อยเกินไป ลูกค้าคงคิดว่าคงเป็นสินค้าที่เหลือจากการที่คนอื่นเลือกแล้ว ที่เหลือจึงเอามาขาย จะทำอย่างไรดี ?
ก็จะต้องสั่งมาเพิ่มอีกเพื่อให้มีความหลากหลาย การค้าขายก็ต้องเป็นไปในลักษณะนี้ สุดท้ายหลายคนเรียกว่า "ทุนจม" ขายเพื่อรอระยะเวลาคืนทุน ที่เหลือก็เป็นกำไร แต่สำหรับผมบวกลบคูณหารรองเท้าที่เหลืออยู่คือกำไร แล้วแต่เราจะขายราคาเท่าไร ขายคู่ละ 1 บาทก็ได้
ที่ ๆ ผมขาย บางวันแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวทะเลาะกับคุณสามีที่บ้านหรือไงมิทราบ ก่อนกลับก็เอาน้ำราดที่ ๆ ผมขายรองเท้าเปียกไปหมด ผมต้องหากระดาษหนังสือพิมพ์มาวางแล้วจึงวางเสื่อน้ำมันอีกที
วันไหนขายได้ก็ดีไป วันไหนขายไม่ได้เลย รู้สึกท้อใจ และมักจะมีคำถามมาถามตัวเองว่า "เราทำ ๆ ไม มีเหตุผลอะไรที่เราต้องทำแบบนี้" นั่นคือคำถามที่กำลังชี้ให้เห็นว่าเราท้อแล้ว ต้องมองหาเส้นทางใหม่
ผมทราบข่าวว่าพี่ชายคนโตของผม ย้ายไปทำงานที่ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ซึ่งที่แห่งนี้หลายคนคงรู้จักว่าเป็นดินแดนแห่งผ้าไหมงามที่เลื่องชื่อ ความสนิทสนมกับคนในชุมชน ในหมู่บ้านในฐานะหมออนามัยชุมชนน่าจะมี และคงจะรู้จักคนทอผ้าไหมตามบ้านบ้างพอสมควร
ถ้าหากเราไปซื้อกับบ้านโดยที่ไม่ผ่านคนกลางอย่างเช่นร้านค้าในตัวอำเภอ ก็คงจะซื้อได้ในราคาดี ก็เลยบอกให้พี่ชายลองสืบเสาะหาดู เอามาก่อน เมื่อขายได้จะส่งเงินค่าผ้าไหมไปให้ ปรากฎว่าราคาในหมู่บ้านราคาผืนใหญ่ตัดชุดได้ทั้งเสื้อทั้งกระโปรงหรือผ้าถุง สนนราคาลายน้ำไหลอยู่ที่ประมาณ 640 บาท ถ้าลายไทยหรือลายอื่น ๆ สนนราคาอยู่ที่ 800 กว่าบาท
ผมคิดในใจว่าถ้าหากขายผืนละ 1,500 บาท ก็คงจะได้กำไรเยอะ แต่จะทำอย่างไร เพราะไม่มีความถนัดทางด้านผ้าไหมเลย แต่ก็มีความสนใจ
ที่ทำงานมีน้องสาวคนหนึ่งที่เป็นคนในพื้นที่ เธอเกิดและโตที่นี่ แม่ของเธอขายอาหารอยู่ที่ทำงานและรู้จักคนมากมาย คือเป้าหมายที่จะกระจายสินค้าผ้าไหมของผม
ผมบอกเธอว่าราคาผ้าไหมผืนละ 1,300 บาท ที่เหลือแล้วแต่เธอจะขายได้กำไรเท่าไร ปกติผืนนี้ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 - 1,800 บาท เพราะเป็นผ้าทอมือที่มีขั้นตอนมากมาย และไหมก็เป็นเกรด A คุณภาพเยี่ยมซักไม่หด สีไม่ตกตลอดอายุการใช้งาน ก็อธิบายสรรพคุณให้เกินจริงเข้าไว้
ปรากฎว่าเธอนำเสนอขายวันเดียวได้ถึง 5 - 6 ผืน บางวันถึง 10 ผืน อืมเข้าท่าดีเหมือนกัน ผมไม่ต้องไปเสนอขายโดยตรง เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นลูกมือเธอ อธิบายแหล่งที่มาและสรรพคุณ (เกินจริง) ของผ้าไหมให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยากจะรู้เรื่องผ้าไหม
อย่างที่บอกครับ ผ้าเหลือน้อยต้องเอามาเพิ่ม ขายได้ก็ดีขายไม่ได้ก็ท้อ มีผ้าไหมเหลืออยู่ประมาณ 10 ผืน ผมก็ส่งคืนไปให้พี่ชายเพื่อนำส่งต่อ บอกว่าให้จ่ายค่าเสียเวลาให้ผืนละ 300 บาท เดี๋ยวจะส่งเงินมาให้ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พี่ชายทวงผมก็บอกว่าลืม...จำไม่ได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า งานที่สร้างฐานะจากคนจน ๆ ให้เป็นคนรวยได้คือการทำ "ธุรกิจ" อย่างเดียวเท่านั้น จะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่
การค้าขายทั่ว ๆ ไป เป็นเพียงการขายเพื่อให้ตัวเองมีรายได้เท่านั้น ถามว่ามีโอกาสรวยหรือไม่ ? ...มีครับ ถ้ารู้จักกินรู้จักเก็บ แต่ถ้าอยากจะรวยเร็วต้องไม่ใช่เพียงการขายธรรมดา แต่ต้องผลักดันตัวเองเพื่อเป็น "นักธุรกิจ"
แต่การทำธุรกิจ จู่ ๆ จะลุกมาทำธุรกิจวันนี้พรุ่งนี้ทำได้หรือไม่ ? ทำได้ถ้าเป็นซุปเปอร์แมน อย่าลืมว่าการทำธุรกิจจะต้องมีการวางแผน และจะต้องมีทุน มีทำเล มีโรงงาน มีลูกจ้าง มีการบริหารจัดการที่ดี จึงจะสามารถอยู่รอดปลอดภัย.........อืมจริง....ผมเห็นด้วย
แต่ถ้าหากไม่มีอะไรเลยตามที่กล่าวมา แต่มีความฝันที่อยากจะรวย มีธุรกิจหนึ่งที่ผมสนใจ คือธุรกิจ "ขายตรง" เป็นอาชีพใหม่ที่แล่นเข้ามาในหัวสมอง เพราะมีคนมาชวนผม อีกอย่างผมอยากที่จะพิสูจน์ศักยภาพของตัวผมเอง จึงทำให้ผมต้องพาตัวเองไปศึกษาธุรกิจอันนี้อย่างจริงจัง
Bookmarks