-
-
ศึกษาหาความรู้
เรื่องที่บ่เคยฮู้ กะได้ฮู้ ขอบคุณคุณครูหลายๆครับ
-
ศึกษาหาความรู้
จากสยามเป็นไทย-นามนั้นสำคัญมากฉะนี้หรือ ?
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : เขียน
โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
1.
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482/1939 (หรือ 68 ปีมาแล้ว) รัฐบาลของนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม (ต่อมาสถาปนาเป็นจอมพล ป. ซึ่งเป็นปีกขวาของ "คณะราษฎร" และเป็นผู้พัฒนาให้เกิด "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยม อันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ") ได้ประกาศ "รัฐนิยม" ให้เปลี่ยนนามประเทศจาก "สยาม" เป็น "ประเทศไทย และ Siam เป็น Thailand" โดยให้เหตุผลด้วยหลักการของ "ลัทธิเชื้อ-ชาตินิยม" ว่า "รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมให้ใช้ชื่อประเทศ ให้ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความนิยมของประชาชน"
2.
ภายหลังการเปลี่ยนนามประเทศดังกล่าว รัฐบาลในสมัยนั้น ยังได้ดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อมให้มีการเปลี่ยนแปลงนามและชื่อต่างๆ อีกดังนี้
2.1 เปลี่ยนแปลงแก้ไข "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม" เป็น "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" โดยขอมติจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 3 ตุลาคม 2482
2.2 เปลี่ยนเนื้อร้องของ "เพลงชาติ" ซึ่งขุนวิจิตรมาตรา แต่งไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2477
ซึ่งมีคำขึ้นต้นว่า "แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า" และมีคำลงท้ายว่า"เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย สถาปนาสยามให้เทิดไทย ไชโย"
ให้กลายเป็นเนื้อร้องของ "กองทัพบก" (โดยหลวงสารานุประพันธ์ คนสนิทของจอมพล ป. เมื่อ 10 ธันวาคม 2482) ซึ่งมีคำขึ้นต้นว่า "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน" และมีคำลงท้ายว่า "สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศไทยทวีมีชัย ไชโย"
2.3 เปลี่ยนและตัดเนื้อร้องกับทำนอง "เพลงสรรเสริญพระบารมี" เมื่อ 26 เมษายน 2483 ให้สั้นลง เหลือเพียง "สังเขป" ดังนี้ "ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน นบพระภูมิบาล บรมกษัตริย์ไทย ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจจะถวายชัย ชโย" ทั้งนี้โดยตัดตอนกลางออก คือ"เอกบรมจักริน พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์"
เนื้อและทำนอง "สังเขป" นี้ถูกใช้อยู่ 5 ปี และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 5 ธันวาคม 2488 และโดยที่ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยม-อันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ" ต้องตกจากอำนาจไป (ชั่วคราว) ทำนองและเนื้อร้องสมบูรณ์ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่
2.4 ทำให้มีการเปลี่ยนนาม "พระสยามเทวาธิราช" เป็น "พระไทยเทวาธิราช" นามของเทพพิทักษ์กรุงสยามนี้ สามารถเปลี่ยนกลับมาได้ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับข้อความข้างต้น ทั้งยังเป็นนามที่มิได้มีการเขียนบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือในประกาศกฏหมายอย่างเป็นทางการใดๆ จึงทำให้เปลี่ยนกลับได้โดยง่าย (ต่างกับนามของประเทศข้างต้น). อนึ่ง เนื่องจากในสมัยนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้น จึงยังไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่ง "สยามมกุฎราชกุมาร" เราจึงไม่มีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนเป็น "ไทยมกุฎราชกุมาร" แต่อย่างใด
2.5 ทำให้มีการเปลี่ยนนามของ "สยามสมาคม" และ The Siam Society เป็นไปอย่างประดักประเดิดว่า "สมาคมค้นวิชาแห่งประเทศไทย" หรือ The Thailand Research Society อยู่ 5 ปีระหว่าง พ.ศ. 2485-2489 (1942-1946) "สยามสมาคม" เปลี่ยนกลับมาได้ก็ด้วยคำอธิบายเช่นเดียวกับกรณีของ "พระสยาม(ไทย)เทวาธิราช"
2.6 นอกจากนี้ รัฐบาลสมัยนั้นยังสามารถทำให้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทขนาดใหญ่ๆ เช่น "สยามกัมมาจล" เป็น "ธนาคารไทยพาณิชย์" เปลี่ยนจากภาษาอังกฤษว่า The Siam Commercial Bank เป็น The Thai Commercial Bank เมื่อ 27 มกราคม 2482 (มกราคมสมัยนั้น ถือเป็นเดือน 10 ยังไม่ใช่เดือนแรกของปีปฏิทิน จนกระทั่ง พ.ศ. 2484)
กรณีของธนาคารนี้จะแปลกกว่ากรณีอื่นๆ คือ เมื่อ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยม" ไม่ได้เป็นรัฐบาลช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็มีการเปลี่ยนกลับ แต่เปลี่ยนกลับแบบ "พันทาง/ลูกผสม" (พ.ศ. 2489) คือเปลี่ยนเฉพาะในภาษาอังกฤษ ไม่เปลี่ยนในภาษาไทย ดังนั้น นามปัจจุบัน คือ "ธนาคารไทยพาณิชย์/The Siam Commercial Bank" ซึ่งเป็น "พันทาง/ลูกผสม" คล้ายๆ กับกรณีของ "บริษัทปูนซิเมนต์ไทย" ที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Siam Cement" และเคยเปลี่ยนเป็น"The Thai Cement" (พ.ศ. 2482 แล้วก็เปลี่ยนกลับอีกใน พ.ศ. 2489)
2.7 อนึ่ง ควรแทรกไว้ในที่นี้ด้วยว่า "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยมอันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ" กลุ่มเดียวกันนี้ ก็ได้เปลี่ยนนามของ "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า The University of Moral and Political Sciences (UMPS) เป็น (สั้นๆเฉยๆ) ว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" หรือ Thammasat University (TU) เมื่อปี พ.ศ. 2495 แล้วตั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม (นรม. สมัยนั้น) เป็นอธิการบดี (แทนผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ และเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ป. ก็มีการตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร เข้าเป็นอธิการบดีแทนอีกด้วย)
มธ. ถูกออก พ.ร.บ. ตราตรึงไว้กับชื่อใหม่นี้ เช่นเดียวกับนาม "ประเทศไทย" หรือ Thailand ที่มี "รัฐธรรมนูญ" ฉบับแล้วฉบับเล่าที่ร่างกันตามๆ มาโดย "เนติบริกรและรัฐศาสตร์บริการ" ที่ปฏิบัติหน้าที่รับงานมาจาก "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยมอันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ" ตราและตรึงไว้ไม่ให้กลับไปใช้นาม "สยาม" หรือ Siam เช่นกัน
3.
หากจะวิเคราะห์เรื่องของนามนี้ ทั้งจากทางด้านวิชาการและทางด้านประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่า เหตุผลที่รัฐบาลในสมัยนั้น ยกขึ้นมาอ้างว่าด้วยเชื้อชาติ ไม่ถูกต้องตาม "ความเป็นจริง" และ "ข้อมูล" ทั้งนี้เพราะ "ประชาชน" ที่ประกอบกันขึ้นเป็น "พลเมืองของประเทศเรา" มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และอัตลักษณ์ วัฒนธรรม มีทั้งไทย ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ) ลูกผสม/ลูกครึ่งต่างๆอีกมากมายกว่า 50 ชาติพันธุ์ ฯลฯ
4.
การเปลี่ยนนาม "สยาม" เป็น "ไทย" ครั้งนั้นได้สร้าง "ความสับสน" ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า "ผู้คน/ประชาชน" กับสิ่งที่เป็นนามของ "ดินแดน/ประเทศ" (peoples and land) ตัวอย่างที่พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เป็นประจำ คือ Taiwan หรือ Thailand หรือไม่ก็ทำให้นามอันเป็น "สิริมงคล" เช่น สยาม หรือ Siam กลายเป็น "อัปมงคล" ด้วยการที่นักวิชาการสกุล "เชื้อ-ชาตินิยม/อำมาตยาธิปไตย" ลากการตีความและตัวสะกดเป็น "ศยาม" (ศ.ศาลา) ที่แปลว่า "ดำหรือคล้ำ" หรือตีความไปไกลว่าเป็น "ทาส" พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเป็นคำที่ "ของ/เขมร" ตั้งไว้ให้ก่อนสมัยกรุงสุโขทัย
แต่ทว่า คำว่า "สยาม" หรือ Siam นั้น เป็นคำโบราณเก่าแก่มาก อาจจะมากกว่า 1 พันปี (ก่อนตั้งกรุงสุโขทัย/อยุธยา/ล้านนา/ล้านช้าง ดังนั้น คำว่า "สยาม" ก็เก่าแก่กว่าสถาบันกษัตริย์หรือ "ระบอบราชาธิปไตย/สมบูรณาญาสิทธิราชย์" ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5) ด้วยซ้ำไป และมีการนิยมใช้ออกเสียงเรียกนามนี้ต่างกันไป ดังเช่น
4.1 ไท (ที่ไม่มี ย.ยักษ์) กับลาว ออกเสียงว่า "ซำ หรือ ซัม" แปลว่าดินที่มีน้ำ
4.2 ไทย (ย.ยักษ์) ออกเสียงว่า "สยาม"
4.3 มอญ ออกเสียงว่า "เซ็ม"
4.4 เขมรออกว่า "เสียม/ซีม"
4.5 มลายูออกเสียงว่า "เสียม/เซียม"
4.6 พม่าออกเสียงว่า "ฉาน/ชาน"
4.7 จีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องและราชวงศ์เหม็ง ก็เรียกดินแดนของเราว่า "เสียน" หรือ "เสียม"
ดังนั้นในพระราชสารจากปักกิ่งก็จะเรียกเราว่า "เสียมล้อ"
4.8 เมื่อฝรั่งตะวันตกเข้ามา ก็รับคำนี้ไปจากมอญและมลายู ออกเสียงกันต่างๆ นานา แต่ที่รับรองกันเป็นสากลมาหลายร้อยปี ก็คือคำว่า Siam นั่นเอง
ดังนั้น เราจะต้องไม่ "สับสน" ระหว่าง "ดินแดน/ประเทศ" land กับ "ผู้คน/ประชาชน" peoples อันหลากหลายที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้
5.
ความสับสนดังกล่าว ยังมีผลในการทำลายประเพณีอันดีงามของนาม "ประเทศ" อันเก่าแก่และสง่างามของเรา กล่าวคือนามประเทศของเรา คำว่า Thai แล้วลงท้ายด้วย land นั้นดูเหมือนเป็น "หัวมังกุท้ายมังกร" และ "ตามก้นฝรั่ง" ดังจะเห็นว่า นามประเทศที่ลงท้ายด้วย land จะมีส่วนใหญ่ก็ในทวีปยุโรปเจ้าอาณานิคมเท่านั้น (ประเทศเหล่านั้นมีปัญหาเรื่องของ "ลัทธิชาตินิยม" Nationalism ที่กลายพันธุ์เป็น "เชื้อชาตินิยม" Racism หรือไม่ "ความรักชาติ" ถูกบิดเบือนให้กลายเป็น "ความคลั่งชาติ" บ้างก็มี) ประเทศเหล่านั้น ที่ลงท้ายด้วย land ก็มี เช่น
- ในทวีปยุโรป Poland, Switzerland, England, Scotland, Ireland, Finland, Netherlands ฯลฯ
- ในทวีปอเมริกา ไม่มีเลย
- ในทวีปอัฟริกามี Swaziland ประเทศเดียว (อดีตอาณานิคมอังกฤษ)
- ในทวีปออสเตรเลียก็มี New Zealand ประเทศเดียว เช่นกัน (อดีตอาณานิคมอังกฤษ)
- และในทวีปเอเชียมี Thailand ประเทศเดียว ทำให้ดูเหมือนว่าประเทศของเราเพิ่ง "เกิดใหม่" และ/หรือเป็น "อดีตอาณานิคม" เพิ่งได้ "เอกราช" จากฝรั่ง
6.
แม้จะมีปัญหาผิดฝาผิดตัวทางข้อมูล (ความเป็นจริง) ทางประวัติศาสตร์ ความลักลั่น ความประดักประเดิดดังกล่าวข้างต้น ทำไม ? รัฐบาลสมัยนั้นและรัฐบาลสมัยต่อๆ มาของ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยมอันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ" (รวมฝ่ายพลเรือน/ตุลาการด้วย) จึงทั้ง "เปลี่ยน" นามและหรือไม่ก็ทั้ง "รักษา" นามนี้ของ "ประเทศไทย" และ Thailand เอาไว้ คำตอบก็คือ
() การเมืองภายในและภายนอกประเทศ
() วาระซ่อนเร้นทางการเมือง
ในข้อที่หนึ่งว่าด้วยการเมืองภายในและภายนอกนั้น กล่าวย่อๆ ได้ว่า เมื่อ "คณะราษฎร" ยึดอำนาจปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จากรัฐบาลของระบอบราชาธิปไตย (รัชกาลที่ 7) ได้แล้วนั้น รัฐบาลใหม่มีเจตจำนงที่จะสถาปนา "ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ" ขึ้น แต่ก็ประสบปัญหา "ความไม่มั่นคงทางการเมือง" อย่างยิ่ง มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าการรัฐประหารซ้ำ/ซ้อนอยู่ตลอดเวลา
(ดังจะเห็นได้จากการรัฐประหาร "ซ้อน"โดยรัฐสภา 1 เมษายน 2475 การรัฐประหาร"ซ้ำ" 20 มิถุนายน 2476 และ "ความพยายามที่จะทำรัฐประหารซ้อน" ที่กลายเป็น "กบฏบวรเดช" ตุลาคม 2476 ที่ความขัดแย้งได้กลายเป็นสาเหตุให้พระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ต้องสละราชสมบัติในปีต่อมา และ "ลี้ภัยการเมือง" อยู่ในอังกฤษจนสิ้นพระชนม์ชีพ)
ดังนั้นปีกขวาของ "คณะราษฎร" ซึ่งนำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงเสนอนโยบาย "ลัทธิชาตินิยม" ที่มีรูปแบบและแกนกลางอยู่ที่ "อำมาตยาธิปไตย" แต่จะอ้างและอิงกับสิ่งที่เรียกว่า "ประชาชาตินิยม" ที่ทำให้ปีกซ้ายของ "คณะราษฎร" เอง ก็รับได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะมาแตกหักกันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ผลที่สุดแล้ว "ลัทธิชาตินิยม" รูปแบบนี้ ก็กลายพันธุ์เป็น "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยมอันมีบรรดาจอมพลและพลเอกเป็นผู้นำ" นอกจากนี้ "ลัทธิอำมาตยาชาตินิยม" ดังกล่าว ก็ก่อตัวขึ้นในบริบทของการเมืองภายนอก ที่ลัทธินาซี/ฟาสซีสม์ กำลังผงาดขึ้นมาในเยอรมนี (ของฮิตเลอร์) อิตาลี (ของมุสโสลินี) และญี่ปุ่น (ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตและนายพลโตโจ) และรัฐบาลไทยสมัยนั้น ก็ดำเนินนโยบายการต่างประเทศ "ลู่ไปตามลม" ที่จะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในบั้นปลาย
กล่าวโดยย่ออีกครั้งก็คือว่า "วาระซ่อนเร้น" ในการดำเนินนโยบายดังกล่าว รวมทั้งการเปลี่ยนนามประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" จาก Siam เป็น Thailand ก็คือ มาตรการที่จะต่อสู้กับ "คณะเจ้า" และ "ระบอบราชาธิปไตย" ที่มีอุดมการณ์หลักของ "ราชาชาตินิยม" ที่แม้จะสูญเสียอำนาจไป (ชั่วคราว) แต่ก็สามารถทำให้ "คณะราษฎร" ขาดความมั่นคงทางการเมืองได้
ในขณะเดียวกันว่า "วาระซ่อนเร้น" ของการยกย่องเชิดชู "ความเป็นไทย" "ชนชาติไทย" "เผ่าไทย" ก็คือการตอกย้ำอัตลักษณ์ "ไทย" ที่สามารถ "กดทับ" อัตลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ หรือชาติพันธุ์อื่นๆ อันหลากหลายไปด้วยในตัวไม่ว่าจะเป็น ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่ง (ชาติต่างๆ) แขก (ชาติต่างๆ) ลูกผสม/ลูกครึ่งต่างๆ อีกมากมายกว่า 50 ชาติพันธุ์
ในกรณีนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่จะถูกกระทบอย่างหนักคือ "กฎุมพีจีน" ที่มีความสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมอันดีเป็นเวลาช้านานกับ "คณะเจ้า" (เข้าทำนองคำพังเพยสำหรับบุคคลแห่งบารมีที่ว่า "ปีจอ วันจันทร์ เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก") ในยุคดังกล่าวและยุคต่อมาของการต่อต้านคอมมิวนิสม์ชาวจีน (หรือคนไทยเชื้อสายจีน) จะถูกมาตรการและการปฏิบัติที่กดทับและกีดกันทั้งทางด้านกฎหมาย เศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ นานา แต่ประวัติศาสตร์ไทยก็ "วกวน" และ irony (ย้อนแย้ง)ยิ่งนัก กล่าวคือผู้ก่อการ 2475 จำนวนไม่น้อยเลย รวมทั้งชนชั้นสูงชนชั้นปกครองไทย ต่างก็มีเชื้อสายจีน (หรือไม่ก็ประเภทลูกผสม "จปล."(จีนปนลาว) หรือ "จปม."(จีนปนมอญ)) แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมของตน ก็ต้องเล่นบท "รักเมืองไทย-ชูชาติไทย" และ "กดทับ-ปิดบัง-ซ่อน-แอบอัตลักษณ์" ของตนอย่างสุดๆ
7.
นโยบาย "ลัทธิอำมาตยาชาตินิยม" ดังกล่าวนี้ แม้จะดูอ่อนๆ เป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องของวัฒนธรรมในระยะแรก แต่ในที่สุดก็ "พัฒนา" ไปสู่ความแข็งกร้าวและรุนแรงที่ไม่สามารถจะ "กู่ให้กลับ" มาได้ กลายเป็น "คลั่งชาติ" และ "ลัทธิขยายดินแดน" Irredentism ที่ทั้งผู้นำในระบอบดังกล่าวปลุกระดมว่าเป็น "มหาอานาจักรไทย" (Pan-Thaiism) แอบ-อิง-และอ้าง "ลัทธิประชาชาตินิยม" สามารถปลุกระดมให้นักเรียนนิสิต นักศึกษา ประชาชน ชั้นกลาง ลุกขึ้นมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาล และในที่สุดกองทัพไทยก็บุกเข้าไปยึดครองดินแดน และผู้คนที่อยู่ภายใต้อาณานิคมฝรั่ง ดังกรณีทางประวัติศาสตร์ดังนี้
7.1 ยึดดินแดนจากอินโดจีนของฝรั่งเศส (กัมพูชาและลาว) เมื่อปี พ.ศ. 2483 หลังการเปลี่ยนนามประเทศเพียง 1 ปี (ยึดได้มาด้วยการสู้รบกับฝรั่งเศส และการไกล่เกลี่ยเข้าข้างไทยของญี่ปุ่น)
รวมทั้งยึดดินแดนจากอาณานิคมของอังกฤษ โดยกองทัพญี่ปุ่นช่วยหนุนหลังปี 2485 รวมทั้งหมด ดังนี้
7.2 ยึดเสียมราฐ แล้วเปลี่ยนนามเป็น "จังหวัดพิบูลสงคราม"
7.3 ยึดพระตะบองและศรีโสภณ (ให้นายควง อภัยวงศ์รับมอบคืน ใช้ชื่อเดิม)
7.4 ยึดนครจัมปาศักดิ์ (จัมปาสักในลาว ใช้ชื่อเดิม แต่สะกดให้เป็นไทย)
7.5 ยึดไชยะบุรี (แล้วเปลี่ยนนามเป็นจังหวัดลานช้าง-ไม่มีไม้โท)
7.6 ยึดเมืองเชียงตุงและเมืองพาน (ในพม่า) แล้วเปลี่ยนนามเป็น "สหรัฐไทยเดิม"
7.7 ยึดกลันตัน ตรังกานู เคดะห์ ปะลิส (ในมลายู) แล้วเรียกเสียใหม่ให้เป็นไทยว่า "สี่รัฐมาลัย"
ดินแดนและผู้คนเหล่านี้ รัฐบาลไทยได้ส่งข้าราชการเข้าไปปกครองอยู่ระหว่าง 3-5 ปี แต่ต้องส่งคืนไปภายหลังที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2488 เราคงนึกกันไม่ออกว่าประเทศของเราจะเป็นอย่างไรในปัจจุบันนี้ คือ พ.ศ. 2550 นี้ (ที่เราเต็มไปด้วยปัญหาของ "สมานฉันท์" และ "ชายแดนจังหวัดภาคใต้") หากญี่ปุ่นชนะสงครามครั้งนั้น และดินแดนตั้งแต่ "เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ ไชยะบุรี เชียงตุง เมืองพาน ตลอดจนกลันตัน ตรังกานู เคดะห์ และปะลิศ" ยังคงขึ้นอยู่ในการยึดครองของ "ประเทศไทย" และ Thailand
8.
สรุป นามประเทศของเราทั้ง "สยาม" และ "ไทย" เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร มีเส้นทางเดินมายาวไกล ยอกย้อน ซับซ้อน และสับสน มีทั้ง "วาระซ่อนเร้น" ที่เป็น "การเมือง" ทั้งที่เป็น "ราชาชาตินิยม" "อำมาตยาชาตินิยม (ที่ต่างก็มักอ้าง ประชาชาตินิยม") มีทั้งการนำมาใช้โดยอาจจะบริสุทธิ์ใจ กับการบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของหมู่คณะของตน ในบางครั้งสร้างปัญหาในระดับนานาชาติขึ้นได้ อย่างเช่น ในกรณีดินแดนประเทศข้างเคียง และในบางครั้งคำว่า "ไทย" ก็ถูก "ระบอบอำมาตยาธิปไตย/อำนาจนิยมฯ" รวมทั้งวาทกรรม "ราชาชาตินิยม") นำมาใช้เป็นเครื่องมือและข้ออ้างในการปราบปรามผู้คน/ประชาชนภายในประเทศด้วยกัน ดังเช่นในกรณีของรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 หรือ กรณีของพฤษภาประชาธรรม 2535 (ไม่ใช่ทมิฬ) และ/หรือกรณีของ "กรือเซะและตากใบ"
ในฐานะนามของประเทศ (ดินแดน หรือ land) เรามีความจำเป็นที่จะต้องเลือกระหว่าง "สยาม" หรือ "ไทย" คงไม่มี "นาม" ไหนตายตัวหรือดีที่สุด แต่ "นาม" นั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง บางครั้งเป็นเรื่อง "คอขาดบาดตาย" ดังที่เราได้เห็นมาแล้วในประวัติของการเปลี่ยนนามนี้ 68 ปีที่ผ่านมา
รัฐธรรมนูญฉบับ (ที่สอง) วันที่ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งถือได้ว่าเป็น "ฉบับปรองดอง" ระหว่าง "คณะราษฎร" กับ "คณะเจ้า" ก็ใช้นามประเทศว่า "สยาม" และในการร่างรัฐธรรมนูญอีกหลายครั้ง แม้ว่านาม "สยาม" จะถูกยกเลิกไป ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ก็เคยอภิปรายในประเด็นที่จะเปลี่ยนนามประเทศเป็น "สยาม" อีก เช่น ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 และฉบับ 2511
ดังนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่กำลังร่างกันอยู่นี้ หรือฉบับอื่นๆ ที่จะต้องร่างกันต่อไปตราบเท่าที่ประเทศชาติของเรายังไม่มี "ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ" อย่างแท้จริง การจะกลับไปใช้นามว่า "สยาม" และ Siam ก็จะเป็นการ "กลับบ้านคืนรัง" ที่เหมาะสมกับกาละและเทศะ และดูจะเป็นสิริมงคลยิ่ง
และดังนั้นอีกเช่นกัน เพื่อให้สอดคล้องกับ "ความเป็นจริงและความถูกต้อง" ทางเชื้อชาติ ภาษาและอัตลักษณ์วัฒนธรรม และตรงตาม "ข้อมูล" ทางประวัติศาสตร์ จึงเห็นเป็นการสมควรที่จะให้ใช้นามประเทศว่า "สยาม" ในภาษาไทย และ Siam ในภาษาอังกฤษสืบไป ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ "หลักการของความปรองดอง สามัคคี สมานฉันท์ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กับการยอมรับในความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษา และอัตลักษณ์วัฒนธรรม กับประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน"
9.
ท้ายที่สุด เชื่อหรือไม่ว่าการเปลี่ยนนามประเทศ ที่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต คาราคาซังกันมาเป็นเวลานานกว่ากึ่งศตวรรษนี้ ครม. ชุดที่ทำให้เปลี่ยนนามดังกล่าว ได้นำเรื่องนี้เข้าประชุมเมื่อ 8พฤษภาคม 2482 โดยให้อยู่ใน "วาระจร" (ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใดๆ)
ในวันนั้น (8 พฤษภาคม 2482) ในการประชุม ครม. ผู้เข้าร่วมประชุมมีอาทิ เช่น
- นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม นรม.
(ชื่อสกุลเดิมว่า "แปลก ขีตตะสังคะ" ได้บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงพิบูลสงคราม" เมื่อสร้างกระแสการเมืองของการเปลี่ยนชื่อและนาม ได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อและสกุลว่า "แปลก พิบูลสงคราม" ต่อมามียศเป็นจอมพล และเริ่มธรรมเนียมการใช้ชื่อย่อว่า "ป. พิบูลสงคราม" โปรดสังเกตการนำบรรดาศักดิ์มาเป็นสกุล)
- หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
(ชื่อและสกุลเดิม "ปรีดี พนมยงค์" ได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เมื่อมีกระแสการเมืองของการเปลี่ยนชื่อและนาม ได้กลับไปใช้ชื่อปรีดี พนมยงค์ตามเดิม และไม่เอาบรรดาศักดิ์มาเป็นสกุล)
- หลวงวิจิตรวาทการ
(ชื่อ/สกุลเดิม "กิมเหลียง วัฒนปฤดา" ได้บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงวิจิตรวาทการ" เมื่อร่วมสร้างกระแสการเมืองเปลี่ยนชื่อและนาม ได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อและสกุลว่า "วิจิตร วิจิตรวาทการ" โดยเอาบรรดาศักดิ์มาเป็นสกุล แต่ภายหลังก็กลับไปใช้ "หลวงวิจิตรวาทการ" อีก)
- นายนาวาเอก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
(ชื่อ/สกุลเดิม "ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์" ได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ในระหว่างกระแสการเมืองเปลี่ยนชื่อ/สกุลได้หันไปใช้ว่า "ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" แล้วกลับไปใช้ "หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์" อีก)
โปรดสังเกตว่า ครม. ชุดนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนนามประเทศ ชื่อและนามอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลของตนเองกลับไปกลับมาหลายต่อหลายครั้งด้วย ซึ่งน่าจะสะท้อนปัญหาของจิตวิทยาทางการเมืองของชนชั้นนำใหม่นี้ได้เป็นอย่างดี)
ในวันเดียวกันดังกล่าวนั้น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้อภิปรายด้วยทัศนวิสัยที่กว้างไกลไว้อย่างน่าสนใจว่า
"ในแง่นโยบายการปกครอง เราคงลำบากใจบางอย่าง คนในสยามมีหลายชาติ เวลานี้เขารักใคร่สยาม ถึงคราวเราพูดอะไร จะให้กินความส่วนรวมแล้ว ก็ใช้ว่า "สยาม" เขาอาจจะน้อยใจได้ ถ้าเราเลิกใช้ "สยาม" ใช้แต่ "ไทย" จะเกิดความรู้สึกว่า เอาพวกชาติอื่นออก เพราะไม่ใช่ไทย พวกปัตตานีก็ไม่ใช่ไทย ถ้าเราเรียกว่า "สยาม" ก็รวมพวกปัตตานีด้วย เขาก็พอใจ ถ้าเปลี่ยนไป อาจไม่ดูดพวกนี้มารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้"
-
แบ่งปันความรู้และประสบการณ์
สมมุติฐานการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ตามข้ออ้างอิง
4.
การเปลี่ยนนาม "สยาม" เป็น "ไทย" ครั้งนั้นได้สร้าง "ความสับสน" ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า "ผู้คน/ประชาชน" กับสิ่งที่เป็นนามของ "ดินแดน/ประเทศ" (peoples and land) ตัวอย่างที่พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เป็นประจำ คือ Taiwan หรือ Thailand หรือไม่ก็ทำให้นามอันเป็น "สิริมงคล" เช่น สยาม หรือ Siam กลายเป็น "อัปมงคล" ด้วยการที่นักวิชาการสกุล "เชื้อ-ชาตินิยม/อำมาตยาธิปไตย" ลากการตีความและตัวสะกดเป็น "ศยาม" (ศ.ศาลา) ที่แปลว่า "ดำหรือคล้ำ" หรือตีความไปไกลว่าเป็น "ทาส" พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเป็นคำที่ "ของ/เขมร" ตั้งไว้ให้ก่อนสมัยกรุงสุโขทัย
แต่ทว่า คำว่า "สยาม" หรือ Siam นั้น เป็นคำโบราณเก่าแก่มาก อาจจะมากกว่า 1 พันปี (ก่อนตั้งกรุงสุโขทัย/อยุธยา/ล้านนา/ล้านช้าง ดังนั้น คำว่า "สยาม" ก็เก่าแก่กว่าสถาบันกษัตริย์หรือ "ระบอบราชาธิปไตย/สมบูรณาญาสิทธิราชย์" ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5) ด้วยซ้ำไป และมีการนิยมใช้ออกเสียงเรียกนามนี้ต่างกันไป ดังเช่น
4.1 ไท (ที่ไม่มี ย.ยักษ์) กับลาว ออกเสียงว่า "ซำ หรือ ซัม" แปลว่าดินที่มีน้ำ
4.2 ไทย (ย.ยักษ์) ออกเสียงว่า "สยาม"
4.3 มอญ ออกเสียงว่า "เซ็ม"
4.4 เขมรออกว่า "เสียม/ซีม"
4.5 มลายูออกเสียงว่า "เสียม/เซียม"
4.6 พม่าออกเสียงว่า "ฉาน/ชาน"
4.7 จีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องและราชวงศ์เหม็ง ก็เรียกดินแดนของเราว่า "เสียน" หรือ "เสียม"
ดังนั้นในพระราชสารจากปักกิ่งก็จะเรียกเราว่า "เสียมล้อ"
4.8 เมื่อฝรั่งตะวันตกเข้ามา ก็รับคำนี้ไปจากมอญและมลายู ออกเสียงกันต่างๆ นานา แต่ที่รับรองกันเป็นสากลมาหลายร้อยปี ก็คือคำว่า Siam นั่นเอง
ดังนั้น เราจะต้องไม่ "สับสน" ระหว่าง "ดินแดน/ประเทศ" land กับ "ผู้คน/ประชาชน" peoples อันหลากหลายที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้
หากจะวิเคราะห์ตามวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ หรือชาติพันธุ์ที่มีอยู่ทั้งหมดของไทยเอง พบได้ว่าไม่มีชาติพันธุ์ที่เป็นคนไทยเลย แต่มีชาติพันธุ์ที่เป็น เสียม(siam) ซึ่งพบโดยการบันทึกที่แผ่นศิลาของนครวัด ในกัมพูชา ที่ระบุถึงการช่วยรบของพวกเสียมก๊อก (siam group) ซึ่งเป็นข้อมูลที่พอจะอธิบายได้ว่า เสียมหรือ siam ภาษาอิสานเรียกว่า เซียม เป็นชนเผ่าเล็ก ๆ ที่อยู่ภาคกลางของประเทศไทย ที่มีผิวดำแดง รูปร่างสันทัด
หากจะเอ่ยถึงการรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น และมีอำนาจต่อรองกับประเทศเพื่อนบ้าน จำเป็นต้องมีกำลังคนจำนวนมาก จึงมีการตีบ้านตีเมืองต้อนคนมาอยู่รอบ ๆ นคร ถ้าเราเดินทางจากอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ผ่านมาอำเภอแปลงยาว อำเภอพนมสารคาม อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา และอำเภอบ้านสร้างจังหวัดปราจีนบุรี เราจะพบว่ามีหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านลาวและเขมรสลับกันอยู่ ซึ่งมีถนนเชื่อมต่อกันเขาเรียกถนนเส้นนั้นว่า "เส้นทางพระรถ" มีนิทานคติชนที่เล่าขานเชื่อมต่อกันตามเส้นทางพระรถนี้ พร้อมทั้งมีสถานที่ประกอบนิทานคติชนตามสถานที่ต่างๆ คือ "เรื่องพระรถ เมรี หรือ นางสิบสอง" สถานที่ประกอบนิทานคติชน ที่คนในชุมชนที่เอ่ยถึงสามารถเล่าขานต่อเชื่อมกับตำนาน "นางสิบสอง หรือ พระรถ เมรี" ได้อย่างมีความรู้สึกร่วม เช่น เขานางนม คลองท่าลาด บ่อน้ำนางสิบสอง ลานชนไก่พระรถ หรือกำแพงเมืองพระรถ(พนัสนิคม) เป็นต้น
แต่ด้วยความสามารถในการรบของพระเจ้าตากสินมหาราช จึงสามารถขยายอาณาเขตการยึดครองไปได้กว้างไกล จนทำให้คนลาวในปัจจุบันยังรู้สึกว่าพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม(ตามที่ได้ข้ามฝั่งโขงไปแอบคุยกับคนลาวบางคน) เมื่อมีการขยายอาณาจักรออกไป มีอาณาเขตกว้างไกล ก็ย่อมทำให้ครอบคลุมพื้นที่อาศัยของคนเหลายชาติพันธุ์ เมื่อรวมเป็นประเทศแล้วจึงทำให้ชาติพันธุ์ "เสียม (siam) มีจำนวนน้อยกว่าชาติพันธุ์อื่น และมีกำลังทหารน้อย อีกทั้งยังมีกษัตริย์(พระเจ้าตาก เป็นลูกครึ่งจีนพ่อ ชื่อนาย ไหฮอง แซ่แต้ แม่ชื่อนางนกเอี้ยง) ไม่คนเผ่าเสียมอีก ความสั่นคลอนต่อความมั่นคงของประเทศก็ย่อมเกิดขึ้น เนื่องจากกองกำลังของเสียมต้องอาศัยกำลังจากชาติพันธุ์ในชนเผ่าอื่น การตั้งชื่อประเทศ สยาม ย่อมเป็นปัญหากับความมั่นคงของประเทศ เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อประเทศ จึงมีน้ำหนักมากพอที่จะต้องเปลี่ยน
หลักเกณฑ์ในการเปลี่ยนชื่อประเทศมากไหน
(ข้อสัณิษฐานต่อไปนี้ เป็นความคิดของกระผมเพียงผู้เดียว)
1. เชื่อว่า ชื่อของประเทศจะต้องเป็นชื่อที่กลาง ๆ ไม่อ้างอิงถึงชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง ให้รู้สึกชาติพันธุ์อื่นรู้สึกรังเกียจชาติพันธุ์ที่ถูกตั้งชื่อประเทศ
2. เชื่อว่า ชื่อของประเทศจะต้องเป็นสัญญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของคนในแผ่นนี้ทุกคนทุกชนเผ่าอย่างเท่าเทียม
3. เชื่อว่า ชื่อของประเทศเป็นข้อความที่พูดออกมาแล้ว คนในประเทศนี้มีความรู้สึกเป็นพี่น้องกันและร่วมกันที่จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่รังเกียจเดียดฉันฑ์ในความต่างของชาติพันธุ์
(เหตุผลอื่นยังนึกไม่ออกครับ เอาแค่นี้ก็น่าจะมีน้ำหนักมาพอในการเปลี่ยนชื่อประเทศ)
จากหลักเกณฑ์ที่พอนึกออกนี้ การเปลี่ยนชื่อจาก "สยาม" เป็น "ไทย" จึงพอที่จะกล่าวตามเหตุผลที่เป็นตรรกทางสังคม และการเมือง(ในยุคนั้น)ได้ดังนี้
1. ประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ 6 ไม่สามารถใช้ชื่อประเทศสยามได้ เนื่องจากชาติพันธุ์อื่นไม่พอใจที่ชาติพันธุ์เสียม(siam) เป็นชนเผ่าเล็ก ไม่มีกำลังมากพอที่จะสร้างความมั่นคงให้กับแผ่นดินนี้ได้ กำลังทางทหารนั้นมาจากชาติพันธุ์อื่นโดยเฉพาะชาติลาว(ที่อยู่ทางภาคอิสาน ที่มีจำนวนประชากรมากมายที่จะทำให้ข้าศึกไม่กล้าที่จะยกทัพมายึดแผ่นดินได้)
2. หากจะดูชุมชนที่อยู่รอบมหานคร จะพบว่าเป็นชุมชนคนจีน ชุมชนคนลาว ชุมชนคนมอญ และชุมชนเสียม(ซึ่งไม่แสดงตนอย่างชัดเจน)และชุมชนอื่นๆ ส่วนชุมชนที่อยู่รอบนอกนคร จะพบลชุมชนลาว มอญ เขมร อิสลาม คริสต์ซึ่งมีชุมชนตั้งอยู่รวมกันและอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลาร้อยๆ ปี
3. การระบุชื่อประเทศ มาจากการทำแผนที่ของชาวฝรั่งเศส ก็มีคำอยู่สามคำที่น่าสนใจ คือ ลาว ไทย และสยาม(siam)
4. นักสำรวจและทำแผ่นที่ชาวฝรั่งเศสไม่ได้ใช้ผู้ช่วยในการสำรวจเป็น ลาว แต่ ใช้ผู้ช่วยจากบางกอก ซึ่งอาจจะเป็นชนเผ่าที่มีชาติพันธุ์เป็น เสียม(siam) (ประเด็นนี้ไมมีหลักฐานนะครับ เป็นการคาดเดาจากความน่าจะเป็นจากการระบุชื่อประเทศในครั้งแรกเป็น สยาม(siam)
5. ภาษาที่ใช้พูกันเมื่อก่อน มีรากศัพท์และสำเนียงคล้ายกับภาษาลาวที่เราเรียกว่าภาษาไทยเดิมนั่นแหละ ซึ่งสามารถสื่อสารกันได้อย่างกว้างขวาง
6. คำว่า "ลาว" ในภาษาลาวเองไม่ได้หมายความว่าเป็น "พี่ใหญ่" แต่ "ลาว" อย่างที่คนเข้าใจในรากศัพท์ของภาษาเป็นอย่างดี คือ คนอิสานจะเข้าใจว่า เป็นบุรุษสรรพนาม บุรูษที่สาม ซึ่งหมายถึงผู้กล่าวกล่าวถึงคนอื่นที่เคารพอย่างกรายๆ ดังนั้นคนที่ให้ข้อมูลชาวฝรั่งเศสที่ทำแผนที่ อาจจะให้ข้อมูลแผ่นดินอีกฝั่งของแม่น้ำของ(โขง)ว่าเป็นแผ่นดินของลาว(เพิ่น) ดังนั้นจึงพอมีเหตุผลได้ว่า "ลาว" จึงมาจากการให้ข้อมูลของคนบอกคนที่เขียนแผนที่
7. คำว่า "สยาม" ก็ย่อมถูกเขียนตามคนบอก ซึ่งคนบอกอาจจะเป็นคนเผ่า "เสียม(siam)"
8. คำว่า "ไทย หรือไท" เมื่อก่อนอาจจะใช้เสียงพูดเป็นหลักในการสื่อความหมาย ซึ่งคำสองคำนี้ออกเสียงเหมือนกัน จึงพอเข้าใจได้ว่าน่าจะมีความหมายเดียวกัน หรือถ้าจะต่างกันก็ต้องมาพิจารณาภาษาอังกฤษ "Thailand" ซึ่งไม่มี "Y" ให้ต้องกำกับเสียงให้เข้าใจเป็น "ไทย" ตามคำอธิบายเชิงวิชาการที่มีอยู่ก่อนนี้ แล้วคำว่า "ไทย หรือไท" น่าจะแปลว่าอะไร จึงมีพลังมากพอที่จะให้ประเทศมีความมั่นคงยาวนานมาจนปัจจุบัน ไม่เกิดปัญหาความแตกแยกที่มาจากความแตกต่างของชาติพันธุ์
ความว่า "ไทย หรือไท" ไม่น่าจะมาจะมีความหมายว่า "อิสระ" หากจะวิเคราะห์ช่วงเวลาและวัฒนธรรมการสื่อสารในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 คำว่า "ไทย หรือไท" น่าจะมาจากรากศัพท์ที่เขาใช้สื่อสารในยุคนั้นคือภาษาไทยเดิมที่มีความคล้ายคลึงกับภาษาลาว ดังนั้น "ไทย หรือไท" จึงน่าจะหมายถึง "พวก หรือพวกเดียวกัน" คนอิสานยังใช้คำว่า "ไทย" ในการสื่อสารให้เข้าใจได้ว่าเป็นพวกกันอยู่(ไทยเดียวกัน)
9. การเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก "สยาม" เป็นประเทศไทย จึงมีน้ำหนักที่ใช้คำว่า "ไทย หรือไท" เป็นชื่อประเทศ เพราะมีพลังมากพอที่จะสื่อถึงทุกคนในประเทศนี้เป็นพวกเดียวกัน เป็นพี่น้องกันเป็นเครือญาติที่จะร่วมมือร่วมไม้ในการสร้างความมั่นคงแก่ประเทศ
ผมไม่ใช่นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นักโบราณคดี แต่ผมเป็นนักปรัชญญา เป็นการศึกษา และเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งทฤษฎีที่อ้างถึง ถึงแม้จะผนวกเอาความคิดของตนเองมาอ้างถึงไปบ้าง ก็เป็นประเด็นที่น่าจะเกิดการศึกษากันอย่างจริงจัง ความรู้ที่ถูกเขียนไว้ก่อนใช้ว่าจะถูกต้องเสมอไป หากเราได้หาข้อมูลมากพอมาวิเคราะห์อย่างจริงจัง เราก็สามารถล้มล้างความเชื่อเดิมที่ผิดได้ ซึ่งนักวิชาการเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า Falsification
-
ศึกษาหาความรู้
ขอบคุณครับ ได้รับความรู้เพิ่มเติมอีกแล้วครับ
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks