วิธีสะเดาะเคราะห์

วิธีสะเดาะเคราะห์

" พิธีสะเดาะเคราะห์ "
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง )

คำว่า เคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของพรหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม
คณาจารย์ต่างๆ เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกัน นั่นคือ ความทุกข์
ถ้าอยากทราบว่า ความทุกข์มาจากไหน ก็จะเล่าให้ฟัง

ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม
มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน

ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง
มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน

ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน

ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี
เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ หลักใหญ่นะ

อย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น

อย่างคนหูหนวก เขาทำบุญสุนทาน เขาฟังเทศน์ฟังธรรมกันแกล้งส่งเสียงกลบ
เขาฟังเทศน์ฟังธรรม เขาคุยกันด้วยความเคารพในธรรม เราแกล้งส่งเสียงกลบ
เกิดเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติอย่างนี้เป็นต้น

ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า เคราะห์กรรม คือ กฏของกรรมเก่าของเราในชาติก่อน
คนทุกคนที่เกิดมานี้ที่ไม่มีกรรมเก่า ที่กรรมไม่ดี ไม่มีนะ ไม่เคยทำบาปนี้ไม่มี...

ทีนี้คำว่า สะเดาะเคราะห์ หมายความว่า ทำให้เคราะห์หมด
คำว่า สะเดาะเคราะห์ไม่มีศัพย์ในทางพระพุทธศาสนา เป็นศัพย์ของคณาจารย์ต่างๆ
ในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ในเมื่อไม่มี ทำไมวัดท่าซุงจีงบอกว่า สะเดาะเคราะห์
ก็เลยบอกว่าพูดตามเขา ทีนี้การทำคราวนี้ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการสร้างความดี
ความโชคดีให้เกิดขึ้น คือ หมายความว่าทำบุญให้มีกำลังสูง

คำว่า เคราะห์ คือ บาป เราล้างไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า
คำว่า เคราะห์จะเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับคนยืนอยู่กลางแดดจัดๆ
เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ
ไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้
ก็มีความเย็น ถ้าทำ บุญที่มีกำลังสูงใหญ่อย่างเราเจริญกรรมฐาน เหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ
ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป
ข้อนี้ฉันใด การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป


ตัวอย่าง : ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่
ในครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทางเทศน์เรื่อง กายคตานุสสติกรรมฐาน
กับ อสุภกรรมฐาน สองอย่าง
คำว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน หมายถึงการพิจารณาร่างกายของตนเอง ...
อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่าร่างกายทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกทั้งหมด
พระ ๖๐ องค์เศษๆ ฟังแล้วพิจารณาตามเกิดความสลดใจเห็นว่าร่างกายของคน
มีความสกปรกมาก มีความเบื่อหน่าย หลังจากเทศน์จบองค์สมเด็จพระจอมไตร
ทรงบอกว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน
ขณะที่อยู่ในถ้ำ ๑๕ วันห้ามมิให้คนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร

บรรดาพระ ๖๐ องค์เศษๆ เหล่านั้น เมื่อฟังเทศน์จบก็พิจารณาร่างกายว่ามันสกปรก
มีความรังเกียจร่างกายมาก ท่านเปรียบเทียบบอกว่า เหมือนหนุ่มสาวที่อาบน้ำใหม่ๆ แต่งตัวสวยๆ
แล้วมีคนเอางูเน่ามาคล้องคอ หรือเอาสุนัขเน่ามาแบกที่บ่าหรือใส่ที่บ่า มีความรังเกียจขนาดนั้น
ในที่สุดก็ฆ่าตัวตายเองบ้าง จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง พอครบ ๑๕ วันพระพุทธเจ้าก็ออกจากถ้ำ
ก็มีพระถามว่า การที่พระองค์ทรงเทศน์ กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน ทั้งสองอย่าง
ทรงทราบหรือไม่ว่าพระ ๖๐ องค์เศษๆ จะฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย
พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ ในเมื่อทรงทราบพระก็ถามว่า ทำไมจึงเทศน์ทั้งที่ทราบว่าเขาจะฆ่าตัวตาย
พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ขึ้นชื่อ กฏของกรรม ไม่มีใครหนีพ้น จะเทศน์อย่างนั้นหรือไม่เทศน์ก็ตาม
เขาก็ต้องฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย เพราะกฏของกรรมเดิม
กรรมเดิมที่พระพวกนี้เคยเป็นพรานฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์มาก่อน มันติดตามมาทัน เขาต้องตายแบบนั้น

ฉะนั้นก่อนจะตาย ตถาคตจึงเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐานสองอย่างรวมกัน
ให้เขาพิจารณาเบื่อในร่างกาย ในเมื่อเขาตาย เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ

ทีนี้การทำคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทำลายให้เคราะห์หมดไป การทำลายเคราะห์ คือ บาป
ทำลายไม่ได้โยม แต่ว่าเราทำบุญให้มีกำลังสูงขึ้น อย่างญาติพุทธบริษัทที่มานั่งที่นี่ทุกคน
ไม่ใช่มีแต่เคราะห์ โชคก็มี คือชาติก่อนมีทั้งความดีมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญและบาป
ขณะใดที่มีการป่วยไข้ไม่สบาย นั่นคือผลของบาปเข้าสนอง
แต่ว่าทุกคนมีทรัพย์สินอยู่ได้เพราะผลของทาน ทานการให้ในชาติก่อน ทำให้คนมีทรัพย์สิน
แต่การมีทรัพย์สินทำไมจึงไม่เสมอกัน อย่างทานที่มีกำลังสูงสุดในด้านวัตถุก็คือ วิหารทาน
เป็นทานที่มีกำลังสูงมาก ทานที่รองลงมาก็คือ สังฆทาน สังฆทานนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต
ตายแล้วเกิดกี่ชาติก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าพระนิพพานเพียงใด จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ
จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีทุกชาติ ทีนี้คนที่เขาเป็นเศรษฐมหาเศรษฐีเพราะว่า
เขาเคยถวายสังฆทานในกาลก่อน อันนี้เป็นผลอันหนึ่งที่เราจะทำ เพื่อเป็นการหลีกเร้นกฏของกรรม
คือ บาป บาปถึงแม้มันจะกลั่นแกล้งขนาดไหนก็ตาม แต่เรามีกำลังบุญสูง คือคล้ายๆ กับสุนัขไล่กัด
ถ้าเราวิ่งเร็วมันก็กัดไม่ทัน ถึงกัดทันก็กัดไม่ถนัด

ประการที่สอง ต่อนี้ไปจะให้ญาติโยมทั้งหลายรับศีล การสมาทานศีลมีอานิสงส์ ๓ อย่างคือ


๑. สีเลนะ สุคะติง ยันติ คนที่มีศีลอยู่แล้ว เวลามีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นปกติสุข
ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้ามีความสุข

๒. สีเลนะ โภคะสัมปะทา ในขณะที่มีชีวิตอยู่เรามีศีลบริสุทธิ์ ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง
ก็มีการเป็นอยู่ดีในการครองทรัพย์สิน ตายไปก็ร่ำรวยมาก

๓. สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนที่รักษาศีลได้ดี จะไปนิพพานได้โดยง่าย

นี่คืออานิสงส์ของศีล หลังจากนั้นไปจะให้ญาติโยมพุทธบริษัท เจริญวิปัสสนา คือเจริญกรรมฐาน
ใช้กำลังพุทธานุสติกรรมฐานเป็นกำลัง นี่เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา
บุญในพระพุทธศาสนามี ๓ ชั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนานี่เป็นบุญใหญ่ที่สุด
จะให้ญาติโยมภาวนาว่า พุทโธ เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ
ใช้เวลา ๑๐ นาที จงอย่านึกว่าแค่ ๑๐ นาที จะมีบุญน้อย ความจริงไม่ใช่น้อย มีกำลังมากเหลือเกิน
การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร ซึ่งเขาไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้า
เขานึกถึงท่านอยากให้ท่านมารักษาโรคให้หาย เพียงเท่านี้ไม่ได้เคารพอย่างเรา
เขาตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
แต่นี่เรา เจริญพระกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ของความเคารพจริงๆ
อานิสงส์มากไปกว่านั้น ปรารถนานิพพานในชาตินี้ยังได้

หลังจากนั้นจะมีพระเจริญพระอภิธรรม สวดอภิธรรมมาติกา คำว่า มาติกา
เขาสวดสำหรับคนตาย และพวกเราตายแล้วหรือยัง แต่ความจริงเขาไม่ได้สวดเพื่อคนตาย
คนตายไม่ได้ฟัง เขาสวดให้คนที่ยังไม่ตายฟัง เพราะบทมาติกานี่อานิสงส์มาก
เพียงแค่รับฟังอย่างไม่รู้เรื่อง อย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัว ฟังสวดอภิธรรมเพียงแค่เพลิดเพลิน
ไม่ทราบผู้สวดเป็นพระ ไม่ทราบว่าธรรมที่สวดเป็นธรรมะ เพลินไป
ผลที่สุดเท้าก็หลุดจากที่เกาะหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว
หลังจากตายจากความเป็นค้างคาวแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
ในเมื่อพระพุทะเจ้าองค์นี้มาตรัส เขาเกิดเป็นลูกชาวประมง ในที่สุดเขาก็ฟังอภิธรรม
เพียงแค่จบเดียวโดยย่อ ก็บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด นี่แค่สัตว์เดรัจฉานนะเขาไม่รู้เรื่อง
ยังมีอานิสงส์อย่างนี้ ฟังแล้วชาติเดียวเกิดเป็นเทวดาและหลังจากนั้นมาก็เป็นพระอรหันต์

ท่านทั้งหลายฟังแล้วด้วยความเคารพ รู้ว่าท่านผู้สวดเป็นพระ คำสวดเป็นธรรมะ
ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและฟังด้วยความตั้งใจจริงอย่างนี้ ถ้าปรารถนิพพานชาตินี้ยังได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม เวลานั้นก็เจอะพระศรีอาริยเมตตรัย
ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวก็ป็นพระอรหันต์ นี่เป็นของไม่ยาก ง่ายๆ นะ
ตั้งใจให้ดีนะหลังจากนั้นพิธีสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นนั่นคือว่าจะให้ พระบังสกุลตาย

ตอนที่ พระบังกุลตาย ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ตั้งใจคิดว่า
เวลานี้ขอผลของความชั่วทั้งหมดบาปกรรมที่ทำมาแล้วจาก... (การละเมิดศีล ๕)...
ที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ มีความเร่าร้อน ให้มันสลายตัวไป พร้อมกับคำบังสกุลตายของพระ


หลังจากนั้นพระจะ บังสกุลเป็น ตอนนั้นบรรดาพุทธบริษัท ก็ตั้งใจคิดว่า
เวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมความดี คือ

๑. ศีลที่เราสมาทานแล้ว

๒. สังฆทานที่เราทำแล้วมีอานิสงส์ใหญ่

๓. การภาวนาซึ่งเราทำแล้ว

๔. วันนี้บวชเณร ๘๕ องค์ บวชชีพราหมณ์ ๖๐ องค์เศษๆ คนทั้งหมดที่บวช
เป็นนักเรียนโรงเรียนสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนที่ได้สมาบัติ คือได้ฌานโลกีย์ทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาบัติขั้นอภิญญา เขาสามารถไปเที่ยวสวรรค์ นรกได้
เพราะโรงเรียนนี้มีกฏบังคับ เด็กที่เข้าโรงเรียนนี้ ต้องเจริญกรรมฐานก่อน
ต้องสอบกันก่อนว่าเที่ยวสวรรค์นรกได้หรือเปล่า ระลึกชาติได้หรือเปล่า
ถ้าทำไม่ได้เข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้ เมื่อเข้ามาได้แล้วก็มีการซักซ้อมทุกอาทิตย์
เป็นอันว่าเณรและชีพวกนี้เป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อพระโสดาปัตติมรรค
ทำบุญมีอานิสงส์มาก

ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการทำบุญให้มากขึ้น
เวลาเลิกแล้วก็เอาสตางค์มาใส่ขัน ตั้งใจบวชเณรบวชชี
มากก็ได้น้อยก็ได้ ๕ สตางค์ก็ได้ ๑๐ สตางค์ก็ได้ สลึงก็ได้
บาทก็ได้ ตามชอบใจ ตามที่จะพึงทำได้ ให้ตั้งใจคิดว่า
เวลานี้เราบวชเณรบวชชี

สำหรับการบวชเณรนี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าเป็นพ่อแม่ของเณร
ถ้าลูกบวชหนึ่งองค์ เขาจะมีอานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหม
ได้คนละ ๑๕ กัป ลูกชายได้ ๓๐ กัป ญาติโยมที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเณร
จะได้อานิสงส์คนละ ๔ กัป ทีนี้มัน ๘๕ องค์นี่ เอา ๔ คูณ ๘๕ เข้าได้เท่าไหร่
ก็รวมความว่าก็ได้ ๓๐๐ กัปกว่า ถ้าเราตายจากชาตินี้เป็นเทวดาหรือพรหม
ก็สามารถเป็นเทวดาหรือพรหม อยู่ได้ถึง ๓๔๐ กัป
ในเมื่อท่านทั้งหลายมีบุญขนาดนี้ก็อยู่ไม่ถึง ๓๐๐ กัป ไปนิพพานแน่
ก็เป็นอันว่ามีความดีใหญ่


ที่มา ศูนย์พุทธศรัทธา (หลวงพ่อฤษีลิงดำ)วัดท่าซุง