หลวงพ่อเล่าว่า


" หลวงพ่อเล่าเรื่อง...วิมานคอยอยู่แล้ว "
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ วันนี้ให้นามว่า วิมานรออยู่แล้ว แต่ก่อนจะพูดถึงวิมานรออยู่แล้วนี่เรื่องไม่มาก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอง ก็จะขอพูดเรื่องความเป็นพระอรหันต์ก่อน พระอรหันต์จะเป็นได้ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ คอยฟังให้ดีนะ
๑. สักกายทิฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพตปรามาส ๔. กามราคะ ๕. ปฏิฆะ ๖. รูปาคะ ๗. อรูปาคะ ๘. มานะ ๙. อุทธัจจะ ๑๐. อวิชชา
ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอย้อนต้น สังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ
๑. สักกายทิฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี แล้วสักกายทิฐินี้ ถ้ามีความรู้สึกเบื่อหน่าย เห็นว่าเป็นของโสโครก สกปรก สะอิดสะเอียน ไม่น่ารัก ไม่ติดใจในรูปกาย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี อารมณ์ของพระอรหันต์มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มีจิตเป็นสังขารุเบกขาญาณ เป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์
๒. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
๓. สีลัพตปรามาส มีศีลบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง
ถ้าตัดได้ ๓ อย่างนี้ เป็นพระโสดาบัน ก็ได้ เป็นพระสกิทาคามีก็ได้
ถ้าตัดข้อที่ ๔ กามฉันทะ ไม่มีความรู้สึกในกามารมณ์ ข้อที่ ๕ ปฏิฆะ ไม่มีอารมณ์ไม่พอใจ อย่างนี้เป็นพระอนาคามี
ต่อไปก็ตัดอีก ๕ คือรูปาคะ ไม่ติดใจในรูปฌาน คือไม่หลงไหลใฝ่ฝันในรูปฌาน
อรูปาคะ ไม่หลงไหลในอรูปฌาน
มานะ ไม่ถือตัวถือตน
อุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตตรงพระนิพพาน
อวิชชาตัดความโง่ทั้งหมด
อย่างนี้เป็นพระอรหันต์
แล้วพระอรหันต์ยังแบ่งเป็น ๔ หมวด
หมวดที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสโก นี้เจริญกรรมฐานมีสมาธิเบื้องต้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เจริญวิปัสสนาญาณควบสมถภาวนา ไม่ใช่สมถะเฉย ๆ ต้องเป็นสมถะด้วย และไม่ใช่วิปัสสนาล้วน ๆ ตามที่เข้าใจกัน วิปัสสนาล้วนนั้นทำไม่ได้ต้องมีศีล มีสมาธิ สมาธิคือสมถะเป็นพื้นฐาน และมีวิปัสสนาญาณควบ จนกระทั่งตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน อย่างนี้เรียกว่า อรหันต์สุกขวิปัสสโก
หมวดที่ ๒ เรียกว่า เตวิโช คือมีวิชชาสามก่อนจะเป็นพระอริยเจ้า ตอนฌานโลกีย์ ก็ ๑. ได้ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไร เห็นจิตใจคนได้หมด แล้วก็ ๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ แล้วต่อไปทำกิเลสให้สิ้น ไปอย่างนี้เป็น อรหันต์วิชชาสาม

หมวดที่ ๓ ก็เป็น อภิญญา ๖ อรหันต์อภิญญา ๖ ขณะที่ได้ฌานโลกีย์ต้องได้ฤทธิ์ มีอภิญญา คือ

๑. แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ อิทธิฤทธิ์ แปลว่า แสดงฤทธิ์ได้
๒. ทิพโสตญาณ หนังสือ นี้เขียนว่า ทิพโสตเฉย ๆ ไม่ถูกต้องเป็นทิพโสตญาณ โสต คือ เนื้อ มันเป็นทิพย์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ค้านหนังสือ หนังสือเขียนผิด ก็ต้องค้านตามความเป็นจริง ต้องเขียนว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้ทางหู ที่เรียกกันว่า หูทิพย์ หูนี่ไม่ทิพย์ หูมีแต่เศร้าลงไป หูคนมันมีแต่แก่ลง ๆ ประสาทเสื่อมลง ๆ แต่ว่าฌานเป็นเครื่องรู้ทางหูรู้ได้ ไกลแสนไกล เสียงเทวดา เสียงผี เสียงพรหม เสียงนิพพาน เสียงนรกเสียงเปรต เสียงอสุรกาย รู้ได้หมด คนจะพูดไกลแสนไกขนาดไหนก็ตาม ต้องการจะทราบทราบได้ ฌาน กับความเป็นทิพย์ของหูธรรมดาต่างกัน ถ้าความเป็นทิพย์ของหูธรรมดา เขาต้องการฟังเฉพาะเวลาที่เขาพูด ถ้าญาณนี่ไม่เป็นอย่างนั้น เขาพูดมาแล้วกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่แสนกัปก็ตาม ถ้าต้องการจะได้ยิน ได้ยินได้ทันที เสียงจะขังอยู่ ญาณจะถอยหลังเข้าไปรู้
รวมความพระอภิญญา ๖ มี ๖ อย่างคือ ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสตญาณ มีญาณทางหู คล้าย ๆ หูทิพย์ ๓. เจโตปริยัติญาณ รู้จิตใจคนอื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุญาณ(หนังสือเขียนว่า ตาทิพย์อีกแล้ว ไม่ใช่ตาทิพย์) มีจิตใจเป็นทิพย์ รู้ได้คล้ายตาทิพย์
ทั้ง ๕ อย่างนี้ต้องทำได้เมื่อฌานโลกีย์ แล้วต่อไปเมื่อทำกิเลสหมด ทำอาสวักขยญาณ ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็น อรหันต์ ครบ ๖ ประการ
อรหันต์หมวดที่ ๔ เขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ คือไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ทั้งหมด มีความฉลาด ความฉลาดข้อที่ ๑ คือ อัตถปฏสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ ข้อธรรมใดใดที่สั้น ๆ สามารถอธิบายได้กว้างขวางได้ และถูกต้อง ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ข้อความใดใดที่ยาว ก็สามารถจะย่อให้สั้นได้ความชัด ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในภาษา ก็รวมความว่าฉลาดในภาษา จะรู้ภาษาทุกภาษากระมัง อาตมาขอทิ้งไว้แค่นี้นะ ๔. ปฏิภาณปฏิสัมปทา มีความฉลาดในปฏิภาณ คือ การพูด พูดฉลาดมาก
ก็รวมความว่า อรหันต์จริง ๆ มี ๔ หมวด ๑. สุกขวิปัสสโก ๒. เตวิโช ๓. ฉฬภิญโญ ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต
ก็ รวมความว่า สำหรับสุกขวิปัสสโกนั้น ถ้าไม่มีกรณีพิเศษ ไม่มีญานพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาต้องการแค่อาการตัดกิเลส ถ้าจะถามว่าอรหันต์สุกขวิปัสสโก ต้องการจะศึกษาวิชา ๓ อภิญญา ๖ ได้ไหม ก็ขอตอบว่าถ้าท่านศึกษาจริง ๆ มันต้องได้ เพราะความเป็นอรหันต์จิตใจบริสุทธิ์เป็นของยาก ทำยาก ท่านได้แล้ว ส่วนญาณต่าง ๆ ในวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เป็นของง่ายกว่า
ถ้า จะถามว่าแล้วทำไมไม่ทำกัน ก็ขอตอบว่าคนทุกคนทำงานเพื่อต้องการความร่ำรวย ทีนี้เมื่อรวยเต็มที่แล้ว เคยทำไร่ไถนามาก่อน ขุดดินกินทรายมาก่อน ต่อมาก็ฐานะดีขึ้น ก็ทำการค้าขายบ้าง มีนาให้เช่าบ้าง ในที่สุดเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตั้งธนาคาร เมื่อตั้งธนาคารได้แล้ว เงินมีเป็นแสนล้าน แล้วใครจะกลับไปทำนาอีก ไปฟันดินอีก การไปศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ๕ ในอภิญญา ๖ เหมือนกันกลับไปฟันดินอีก ไม่มีใครเขาทำกัน ก็รวมความว่า คนต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการอยู่ในฐานะกรรมกรที่ยากไร้ฉันใด เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ก็ไม่กลับไปขุดดินทำไร่ ถ้าจะทำไร่ก็จ้างเขาทำ ไม่ทำเอง ก็รวมความว่า พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน การศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ก็ดี ๕ ในอภิญญา ๖ ก็ดี ก็ต้องการเพื่อเป็นกำลังช่วยในการตัดกิเลสเพื่อให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ที่นี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง สำหรับคำว่า ปฏิสัมภิทาญาณ อาตมาเองก็อึดอัดตันใจมานานแล้ว เรื่องปฏิสัมภิทาญาณ ขณะที่เรียนบาลีอยู่ หรือเรียนนักธรรมก็ตาม อ่านแล้วบางท่านฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านไม่ทันจะโกนหัว เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านบวช ๒-๓ วันเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ และคำว่าปฏิสัมภิทาญาณ ท่านลงท้ายว่า ทรงพระไตรปิฏก ก็เลยอึดอัดคิดว่า เราเรียนเกือบตาย ใช้เวลาตั้ง ๑๐ ปีกว่า ยังไม่สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ แล้วทำไมคนที่ไม่เคยเรียนเลยทำไมจึงทรงได้ ไม่เคยฟังมาก่อนเลย ก็เลยคิดอึดอัดตันใจอยู่นาน
ใน ที่สุดก็มาทราบภายหลังว่า พระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณแล้ว เข้าใจในพระไตรปิฏกจริง คือสิ่งใดที่ยังไม่เรียนก็เข้าใจ ที่เรียนมาแล้วก็เข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้เพราอะไร เพราะว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีปัญญาสูง มีความเข้าใจว่าพระไตรปิฏกพูดถึงอะไร ท่านจับเพียงแค่จุดหมายปลายทาง สิ่งที่มีความสำคัญไม่ใช่อ่านทุกตัว ไม่มีความจำเป็น อาตมาขณะที่เรียนหนังสืออยู่ก็ไปถาม สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านแตกฉานความรู้หลายอย่าง ถามท่านว่า การทรงพระไตรปิฏกทำอย่างไร ท่านถามว่า เธอเคยอ่านพระไตรปิฏกหรือ ก็กราบเรียนท่านว่า เคยอ่านมา ๓ ปี ปีละจบ

ท่าน ก็ถามใหม่ว่า เธอกลับไปดูใหม่ว่า พระไตรปิฏกหน้าไหนไม่พูดถึงขันธ์ ๕ ก็รวมความแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ทั้งหมด เทศน์เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องเดียว แต่เปลี่ยนสำนวนไป พอท่านพูดเท่านี้ก็เข้าใจ กราบท่านว่า อย่างนี้ผมเข้าใจแล้วครับ คำว่า เข้าใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นปฏิสัมภิทาญาณไปด้วย เป็นแต่เพียงว่าอ่านหนังสือมาแล้วไม่เข้าใจในหนังสือ (พูดอีเหละเปะปะมา ก็เสียเวลาไป ๑๐ นาทีกว่า)
ต่อไปนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง การทำบุญ คนทำบุญบรรดาท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เมื่อจิตใจตั้งทำบุญเสร็จ ทำบุญแน่นอนแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยืนยันว่า วิมานคอยอยู่แล้ว คือเจ้าของยังไม่ตาย แต่วิมานปรากฏอยู่ก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่า
ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นปรากฏว่า มีมาณพท่านหนึ่ง คือ นันทิยมาณพ เป็นคนเคารพในพระพุทธศาสนาปกครองทรัพย์สินมากมาย คือเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระมหามุนีสร้างศาลา ๔ หน้า ถวายพระพุทธเจ้า คือถวายเป็นของสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน หลังจากนั้นแล้วตอนกลางคืน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือ พระโมคคัลลาน์ พระองค์นี้มีความสำคัญมาก เรียกว่าวันนี้ทั้งหมดบรรดาท่านพุทธบริษัทพูดเรื่องจริงทั้งหมดนะ ไม่มีนิทาน แล้วก็ไม่มีนิมิต นิทานก็ดี นิมิตก็ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าจริงเกินไป เอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญ แต่ว่าในเรื่องนั้น ๆ ให้ถือว่า ธรรมะ เป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะ น่ะจริงแน่
มา ตอนนี้ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์นี่ท่านเป็นพระพิเศษ แต่พระที่ท่องเที่ยวในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย มีเยอะ ไม่ใช่มีพระโมคคัลลาน์องค์เดียว แต่ว่าแต่ละท่านต่างคนต่างไป ต่างคนต่างรู้ ไปเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว ก็มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยความจริงใจว่าคนนั้นตายไปเกิดที่นั่น คนนี้ตายไปเกิดที่นี่ ใครเป็นญาติกานาติเกกันบ้าง เขาสั่งมาว่าอย่างไร ก็แนะนำไปตามนั้น เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน แต่พระโมคคัลลาน์นั้นไปแล้วไม่อยู่เปล่า ไปหามาทั่ว พบทั่วแล้วก็กลับมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เหตุที่พบมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงยืนยันรับ
ที นี้มาวันนั้น คืนวันนั้น ที่นันทิยมาณพ ท่านถวายศาลา ๔ หน้าเสร็จ กลางคืนพระโมคคัลลาน์ก็เจริญกรรมฐานตามปกติของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่เวลาเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปดูเวลานั่งขัดสมาธินี่มันไม่ได้ ท่านไม่ถือการขัดสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ นั่งขัดตะหมาดมือซ้อนกันนี่นะ เพราะว่าเป็นพระที่จบแล้ว ท่านใช้อารมณ์ได้ทุกขณะ ขณะคุยกันนี่ท่านก็ใช้ได้ อย่าลืมว่าอรหันต์ใช้ฌานสมาบัติ ความเป็นทิพย์ไม่จำกัด เวลาจะพูด จะคุย จะทำงานทำการ อยากจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ เห็นอะไรปุ๊บปั๊บมีความรู้สึก แต่ว่าพระอรหันต์เป็นพระเก็บ ไม่แสดงออก ไม่ชูงวง
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล นั่น หมายความว่า แสดงตนโอ้อวดว่า ฉันเป็นพระอรหันต์บ้าง ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฉันเป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเป็นพระครู ฉันเป็นเจ้าคุณ อะไรพวกนี้ จริง ๆ แล้ว พระสมัยนี้ท่านก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเขาชูงวงกัน แต่พวกชูงวงจะมีอยู่บ้าง เป็นของธรรมดา ๆ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้าม สิ่งนั้นก็ย่อมจะมี ท่านบอกว่า เธอทั้งหลายจงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล คือประกาศตนว่าฉันเป็นขั้นนั้น ฉันเป็นขั้นนี้ เพื่อความเลื่อมใสของบุคคล

อีกประการหนึ่งท่านบอกว่า จง ทำตนเหมือนโมคคัลลาน์ โมคคัลลาน์ทำตนเหมือนแมลงภู่ เข้าไปเชยน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ได้กินน้ำหวานแล้วดอกไม้เขาไม่ช้ำฉันใด บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เวลาเข้าไปสู่ตระกูล จงอย่าทำให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชอกช้ำในความเป็นอยู่หรือจิตใจ
ก็ รวมความว่า วันนั้นพระโมคคัลลาน์ขึ้นไปบนสวรรค์ ก็ไปเจอะวิมานที่ไปพบมาแล้วทุก ๆ วัน แต่ปรากฏว่า พอเลี้ยวเข้ามามุมหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็มีความแปลกใจว่าเห็นวิมานใหม่มันเกิดขึ้น วิมานนี้เป็นวิมาน ๔ มุข มียอดใหญ่ตระการตา สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ ท่านจึงหันไปถามเทพบุตรที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่า วิมานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เทพบุตรองค์นั้นท่านก็ตอบว่า วิมานนี้เป็นวิมานของนันทินมาณพ เมื่อกลางวันวานที่แล้วมา ปรากฏว่านันทิยมาณพเขาถวายวิหารศาลา ๔ มุข ในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอถวายเสร็จวิมานก็ปรากฏก่อน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรถามว่า เป็นอย่างนี้ทุกรายหรือ เทพบุตรองค์นั้นก็บอกว่า เป็นอย่างนี้ทุกราย คนที่ทำบุญเสร็จ มีวิมานทันทีทันใด
พอ พูดมาถึงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นึกถึงว่าคนที่ถวายสังฆทาน ความจริงถวายสังฆทานก็พร้อมด้วยวิหารทานคือปัจจัยที่นำมาถวายก็เป็นสังฆทาน ด้วย เป็นวิหารทานด้วย จึงมีวิมานปรากฏก่อนทุกคน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรก็มองดูไปที่วิมาน เห็นนางฟ้าเต็มไปหมด เป็นพันคน เวลานั้นบรรดานางฟ้าทั้งหลายก็ลงมาจากวิมานมากราบอัครสาวกขององค์สมเด็จพระ ทศพล แล้วเธอทั้งหมดก็กล่าวว่า ภันเต พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พวกฉันเป็นนางฟ้ามาอยู่ที่วิมานนี้ หวังจะบำรุงบำเรอเทพบุตร คือ นันทิยมาณพ ให้มีความสุข

แต่ เมื่อมาถึงก็ปรากฏว่า อยู่เปล่า ว่าง ๆ ใจเหวงหวาง เพราะไม่มีเทพบุตรที่จะบำรุงบำเรอ ฉะนั้นพระคุณเจ้ากลับลงไปเมืองมนุษย์ ได้โปรดบอกนันทิยมาณพด้วยว่า เวลานี้วิมานใหญ่โตสวยงามที่สุดปรากฏขึ้นแล้วในดาวดึงสเทวโลก เป็นที่อยู่ของท่านและมีนางฟ้านับพัน คอยบำรุงบำเรออยู่ ขอให้นันทิยามาณพพละอัตตภาพจากความเป็นคน คือรีบตาย แล้วมาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ดีกว่า เธอเปรียบเทียบว่า อยู่เมืองมนุษย์ ก็เหมือนกับใช้ถาดดินเหนียว มาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนใช้ถาดทองคำ พอเวลาเสร็จภารกิจ พระโมคคัลลาน์ก็กลับ
ตอน เช้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ฟังด้วย ความจริงพระอรหันต์ก็ฟังเทศน์ อย่านึกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ฟังนะ ทุกองค์มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามีความเคารพในพระธรรม และพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาจจะมีแปลก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นความรู้ใหม่ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ทูลถามว่า คนที่ทำบุญแล้วแต่ยังไม่ตาย ปรากฏว่าวิมานเกิดคอยแล้ว ความจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า ที่พระโมคคัลลาน์ถามอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่พระโมคคัลลาน์อวดดี พระโมคคัลลาน์ทำอย่างนั้น เพื่อเป็นการตัดอารมณ์ของตัวว่า การเห็นอย่างนั้นเป็นอุปาทานหรือเปล่า
คำว่า อุปาทาน เป็นการนึกขึ้นเอง แต่ก็ไม่แน่นัก คำว่า อุปาทาน อาตมาก็เคยเกิด เคยพบ วันหนึ่งมีอารมณ์มัวไปนิดหนึ่งก็ปรากฏว่าอยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ขึ้นไป เห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก เปล่งปลั่ง รัศมีปกติ เหมือนทุกอย่าง กราบท่านแล้วก็ถามปัญหาบางอย่าง ปรากฏว่าคำตอบผิด อาตมาถามถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ระยะสั้น ๆ คือ ถาม ๑ ชั่วโมงต้องการผล ต้องการผลใน ๑ ชั่วโมง ผลที่เกิดมาผิด ก็แปลกใจว่า ทุกครั้งที่เราฟังมาไม่เคยผิด
วัน ต่อมาจึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ทำใหม่ คราวนี้ทำใจให้สะอาดจริง ๆ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่นึกถึงเรื่องราวที่คิดไว้ก่อน ก็พบองค์สมเด็จพระชินวร ถามท่าน ท่านก็บอกว่า ดูซ้ายมือสิ พอดูซ้ายมือ เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้าแต่มีเขี้ยว ท่านบอกว่า มารเข้าขวางทางเธอ ก่อนที่เธอจะมาเธอจงอย่าคิดอะไรก่อน จงทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา เมื่อวานนี้เธอคิดอะไรเสียก่อน แล้วขึ้นมา อารมณ์นั้นยังค้างอยู่ เขาเรียกว่า อุปาทาน
เป็น อันว่า พระโมคคัลลาน์ท่านตัดอุปาทานอย่างนี้ เพื่อความมั่นใจ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสดับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า โมคคัลลาน์ เมื่อคืนนี้เธอไปเห็นมาเองแล้วใช่ไหม พระโมคคัลลาน์ก็มีความมั่นใจ
นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การทำบุญนั้น วิมานเขาคอยอยู่แล้ว ทุกคนให้มั่นใจในความดีของตน อย่างมีครั้งหนึ่งตามที่กล่าวมาว่า ครั้งหนึ่งที่อาตมานิมิต คือว่าไม่ใช่นิมิตหรอก จิตมันวูบวาบไป มันตายน่ะ พูดง่าย ๆ ถ้าใครเขาเห็นเวลานั้นก็เป็นความตาย แต่มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนัก จากเวลา ๓ ทุ่มเศษ ๆ ไปถึงตี ๒ กลับมา ตอนนั้นที่บอกว่า ไปนั่งอยู่หน้ากำแพงด้านหนึ่งตามที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มองเข้าไปข้างใน ใสสะอาด สวยงามมากแพรวพราวเป็นระยับ สว่างมาก แล้วท่านบอกว่า มีวิมาน ๗ แสนหลัง คอยพวกเธออยู่ภายใน เธอมีสิทธิ์ แต่ยังเข้าไม่ได้ คอยก่อน อันนี้ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เป็นนิมิตนะ ขอบรรดาท่านผู้รู้ใช้กำลังใจของท่านพิจารณาดูก็แล้วกัน

แล้ว ต่อมาอีกวันหนึ่ง เข้าไปทบทวนใหม่ ถามว่า วิมานชุดนั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ วันนั้นเข้าได้ เข้าแล้วอยู่ไม่ได้ วันที่ผ่านมาแล้วที่พูด เข้าไปจะอยู่เลย คือไปแล้วจะอยู่เลย ไม่กลับ ท่านเลยห้ามเข้าเขต แต่วันต่อมา ไม่เอาละ จะไปดูแค่เฉย ๆ ท่านก็เลยบอกว่าจากจุดนี้ที่เธอนั่ง หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือ แล้วอยู่ทางซ้ายมือวิมาน ๗ แสนวิมาน ตั้งเรียงรายเป็นระยับ ก็มีคนถามว่า คล้ายบ้านจัดสรรใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ แต่บริเวณเขาไกลกว่ากันมาก เขากว้างมาก สวยสดงดงามเป็นระยับ ก็เดินเจ้าไปดู ก็เกิดความเพลิดเพลินว่า วิมานนี้เป็นวิมานเฉาจริง ๆ ไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นเมืองมนุษย์เราจะขายเลหลัง จะเลหลังได้หลายสตางค์ แต่ว่านี่เป็นนิพพาน ขายไม่ได้
เอา ละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีกประมาณ ๑ นาทีเศษ ๆ ก็ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เอาธรรมะเป็นเครื่องประจำใจไปใช้ปฏิบัติสักนิดหนึ่งว่า ความดีเบื้องต้นของคนก็คือศีล ๕ ทุกคนจงระมัดระวังศีล ๕ คือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒. ไม่ลักทรัพย์ ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ๔. ไม่พูดมุสาวาท ๕. ไม่ดื่มสุราและเมรัย
ทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าทำได้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นมหาเสน่ห์อย่างมาก เพราะการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่มีใจไม่โหดร้าย อย่างนี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาปรานี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นเสน่ห์ การไม่ลัก ไม่ขโมยของเขา ทุกคนก็ไว้วางใจ มีเพื่อนมาก มีคนต้องการคบหาสมาคม จะไปพักที่ไหน จะไปนอนที่ไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารไม่อด เพราะเขารัก นี่ก็เป็นเหตุความสุขใจ การไม่ละเมิดสามีภรรยาของบุคคลอื่น อันนี้เป็นเครื่องสบายใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไว้วางใจของคน ไม่ทำลายความรักกัน ก็เป็นเสน่ห์ ให้เกิดความรัก การพูดตรงไปตรงมา เป็นสัจธรรม อันนี้มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาให้ดี เป็นเสน่ห์มหาศาล
ต่อ มาข้อสุดท้าย ที่พวกเราไม่ดื่มสุราบาน ไม่ทำสติสัมปชัญญะให้เสื่อม จะเป็นของดีมาก ทุกอย่าง ๕ ประการนี้ทำได้มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ใดใดที่มีอยู่แล้วในโลกที่ปรากฏมาก่อน ถ้าปฏิบัติตามศีล ๕ ที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้แล้วนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย เขาถือว่าเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานบทสำคัญทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า



เครดิต :facebook.com /พุทธธรรมนำใจ