พระนางเรือล่ม พระนางผู้เป็นที่รักยิ่งของพระพุทธเจ้าหลวง

พระนางเรือล่ม

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาเปี่ยม ประสูติในพระบรมหาราชวัง ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระนามมีคำแปลดังนี้ " พระองค์เจ้าหญิงองค์นี้ ทรงนามว่า สุนันทากุมารีรัตน์อย่างดังนี้ จงอย่ามีโรค จงมีความสุข ปราศจากทุกข์และความวุ่นวายเถิด พระองค์เจ้านั้นจงมั่งคั่งด้วยทรัพย์มากมีโภคมาก มียศและบริวารไม่แปรผัน ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กับทั้งอารักขาเทพดา จงช่วยอภิบาลรักษาพระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์นั้นให้พ้นไปจากอันตรายเป็นนิตย์ ขอความสัมฤทธิ์จงมีแก่พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์เทอญ "

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดและเป็นห่วงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ มากจะเห็นได้จากพระบรมราชโองการพระราชทานเงิน ขอนำมาเฉพาะบางตอนดังนี้

" สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธสมมติเทพยพงษ์วงษาดิศกรกระษัตริย์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมิกมหาราชบรมนารถบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 4 ในพระราชวงศ์ซึ่งตั้งกรุงรัตน์โกสินทร์ มหินทรายุทธยานี้ ผู้เป็นพระบิดาของพระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์บุตรี จะขอสั่งสอนผู้บุตรไว้ว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เอ๋ย พ่อขอสั่งแก่ตัวเจ้าไว้ ทรัพย์ที่มีหางว่าวจำนวนผูกติดกับหนังสือนี้ มีตราของพ่อปิดไว้เป็นสำคัญเท่านี้พ่อให้แก่เจ้าคนเดียว ตัวเจ้าเมื่อโตใหญ่อายุได้ 16 ปีแล้วจงคิดอ่านเอาเป็นทุนทำมาหากินแลเลี้ยงตัวต่อไป แลใช้สอยตามสมควรเถิด แต่พ่อขอเสียอันขาดทีเดียว คิดถึงคำพ่อสั่งให้มากนักหนาอย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวเถิดอย่าให้ปอกลอกเอาทรัพย์ของเจ้าไปได้นัก จงรักษาทุนของพ่อให้ไว้นี้เป็นเกียรติยศชั่วลูกชั่วหลาน เอาแตกำไรใช้สอยเจ้าจงอย่าเล่นเบี้ยเล่ยโปเล่นหวยเป็นอันขาด แลอย่าทำสุยรุ่ยสุยร่ายใช้เงินทองง่ายไม่คิดหน้าคิดหลัง จงคิดอ่านทำมาหากินตริตรองให้ดี....."

ดังพระบรมราชโชวาทพระราชทานเงิน 100 ชั่ง ทำให้เราเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงพระราชธิดาองค์นี้ว่ามากและเมื่อ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ มีพระชนม์ได้ 8 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสวรรคต

พระนางเรือล่ม

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ทรงอุ้มสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ ทรงดำรงความโสมนัสเป็นที่เบิกบานพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เพียงไม่กี่ปี เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดใจก็เกิดขึ้น ดังจากเหตุการณ์ตอนนี้จาก จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันภาคที่ 9 หน้า 122 วันจันทร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะโรง โทศกจุลศักราช 1242 ตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2424 ซึ่งมีข้อความว่า

" เวลาเช้า 2 โมง จะเสด็จพระราชดำเนินไปบางปะอินปล่อยเรือพระประเทียบไปก่อนเช้า 2 โมงเศษ เสด็จวัดพระศรีรัตนศาสดารามทอดพระเนตรแล้วเสด็จเข้าไปในพระอุโบสถทรงนมัสการ และทอดพระเนตร หม่อมราชวงศ์แจ้งขัดพื้นพระอุโบสถเป็นตัวอย่างถวายโปรดเกล้า ฯ ว่าจะจ่ายคนให้ขัด พวกหม่อมราชวงศ์นั้นให้เป็นแต่คอยชักเงา แล้วเสด็จมาตำหนักแพลงเรือพระที่นั่งโสภณภควดี สมเด็จพระองค์น้อย กรมหมื่นนเรศร์ พระองค์เจ้าเทวัญ พระองค์เจ้าวรดิศวรกุมาร พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณกับหัวหมื่น พระนายไวยสรรเพธ หลวงนายฤทธิ์ ไปเรือพระที่นั่ง พระยาประภากรวงศ์เป็นกัปตัน ออกเรือเวลาเช้า 3 โมงครึ่ง ครั้นไปถึงบางตลาดจะเข้าปากเกร็ดพบเรือราชสีห์ จมื่นทิพเสนากับปลัดวังซ้ายลงมากราบทูลว่า เรือพระนั่งพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งเรือปานมารุตจูงไปนั้นล่มที่บางพูด สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ สิ้นพระชนม์ จึงรีบแล่นเรือพระที่นั่งขึ้นไปถึงบางพูดเช้า 5 โมง เห็นเรือไฟและเรือพระประเทียบทอดอยู่กลางน้ำที่เขาดำทราย เหนือบ้านพระยาเกียรติหน่อย ประทับเรือพระที่นั่งเข้าที่เรือปานมารุต ไล่เลียงกรมหมื่นอดิศรกับพระยามหามนตรีด้วยเรื่องเรือล่ม พระยามหามนตรีทูลว่า เรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลย์นั้นไปหน้าใกล้ฝั่งตะวันตก เรือโสรวารซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาตามไปเป็นที่สองแนวเดียวกัน เรือยอชสมเด็จกรมหลวงซึ่งจูงเรือกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกแล่นตรงกันกับเรือราชสีห์แล้วเรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสวาร สักราว 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นมาไปใกล้เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีรษะเรือไปโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นระลอกปะทะกดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง พระยามนตรีว่าได้ลงน้ำดำเข้าไปในเก๋ง เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอออกมาก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว แต่กรมหมื่นอดิศรซัดพระยามหามนตรีว่าเป็นเพราะเรือโสรวารหนีตื้นออกมา จึงเป็นเหตุเรือปานมารุตแล่นห่างกว่า 10 ศอก ต่างคนต่างซัดกันจึงโปรดเกล้า ฯ ให้ เจ้านายขึ้นไปไล่เลียงดูที่คนอื่น ๆ ทีละสองคนแยกกันถาม จึงได้ความว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยกับพระพี่เลี้ยงอีกคน 1 ตาย และคนที่อยู่ในเก๋งออกไม่ทันบ้าง ที่สลบก็แก้ฟื้นขึ้นได้หลายคน จึงไล่เลียงได้ความว่าเมื่อเรือล่มคว่ำนั้น พระองค์เจ้าสุนันทากุมารัรัตน์ประทับอยู่ในเก๋งยังเสด็จออกไม่ได้จึงได้ช่วยกันหงายเรือขึ้น การที่หงายนั้นว่าช้ามากกว่าครึ่งชั่วโมงจึงได้สียท่วงที เมื่อเชิญพระศพขึ้นมาที่เรือปานมารุตแล้วก็ช่วยแก้ไขกันมาก ครั้งนี้เผอิญให้หลวงราโชมาในเรือปานมารุตด้วย ได้ช่วยแก้เต็มกำลังก็ไม่ฟื้น ชาวบ้านที่แก้พวกข้าหลวงรอดหลายคน เอามาแก้ก็ไม่ฟื้นได้ เมื่อได้ความดังนี้แล้วจึงได้ทราบใต้ฝ่าละออง ฯ ว่าพระองค์เจ้าสุนันทากุมารรัตน์สิ้นพระชนม์ด้วยเมื่อเรือพระที่นั่งมาประทับไล่เลียงอยู่นั้นสัก 10 มินิตกว่าก็ไม่ทราบไม่มีใครกราบบังคมทูล และกรมสมเด็จพระสุดารัตน์กับเจ้านายก็มาประชุมพร้อมอยู่ในเรือปานมารุต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ในเรือปานมารุตให้ช่วยกันแก้ไข ด้วยพระองค์ยังร้อนอ่อนอยู่ จนบ่าย 2 โมงก็ไม่ฟื้นขึ้นได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเศร้าโศกพระทัยยิ่งนัก...รับสั่งให้พระองค์สายจัดเรือพระที่นั่งเวสาตรีรับพระศพ และเชิญเสด็จเจ้านายที่ไปเรือเล็กขึ้นประทับบรเรือพระที่นั่งเวสาตรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จประทับมาในเรือพระที่นั่งนั้นด้วย เชิญพระศพขึ้นจวนทุ่มไว้ที่ห้องสลูน

พระนางเรือล่ม

ด้วยความระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ผู้เป็นที่รักยิ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรด ฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น 3 แห่ง ที่พระราชวังบางปะอิน สวนสราญรมย์ น้ำตกพริ้ว

อนุสาวรีย์ที่พระราชวังบางปะอิน เป็นอนุสาวรีย์สร้างด้วยหินอ่อน ตอนกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านตะวันตกมีจารึกเป็นภาษไทย ทางด้านใต้ของอนุสาวรีย์ทำเป็นรูปช่อดอกไม้ และใบไม้ล้อมพระนามย่อ " สกร " อยู่ภายใต้มงกุฎ ทางด้านเหนือทำเป็นรูปช่อดอกไม้ หรือพวงหรีดล้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์คำจารึกที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ นางผู้เป็นที่รักยิ่ง

พระนางเรือล่ม

พระนางเรือล่ม

:b-b:b-b:b-b:b-b:b-b



ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=297465