เรื่องที่สำคัญกว่าเทคนิค
ในคู่มือฝึกวิ่ง....มีคำพูดว่า สำคัญกว่าเทคนิค
.....เรื่องที่สำคัญคือการเรียนรู้ระบบพลังงาน มีความสำคัญกว่าเทคนิค นักวิ่งควรเรียนรู้ระบบพลังงานไว้....ก่อนที่จะฝึกแบบไม่ลืมหูลืมตา อันว่าการที่คนเรามีแรงวิ่ง...ก็คงเหมือนรถยนต์ รถที่ใช้เบนซินก็วิ่งได้ รถที่ใช้โซล่าก็วิ่งได้
ถามว่า เบนซินกับโซล่า เหมือนกันหรือต่างกัน ที่ต่างกันก็มี...ที่เหมือนกันก็มี ที่เหมือนกันคือทำให้รถวิ่งได้.... ถามว่าอะไรจริงๆ....ที่ทำให้รถวิ่งได้
คำตอบคือ...ความร้อน เอาน้ำมันมาเผา อากาศมันก็ร้อน..เกิดการขยายตัว ดันลูกสูบวิ่งได้
หันมามองว่า...การวิ่งได้เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ถามว่า อะไรทำให้กล้ามเนื้อมันหด
ตอบว่า...เอทีพี (ATP = Adenosine Tri Phosphate) เจ้าตัวเอทีพีนี้แหละ...ที่ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ถามว่า...เอทีพี เป็นสารชนิดเดียวที่กล้ามเนื้อใช้ หรือ ยังมีสารตัวอื่นอีก ?
ตอบว่า...กล้ามเนื้อ ใช้เอทีพีได้อย่างเดียว....รู้ไว้ก่อน
ทีนี้นักวิ่งเคยรับทราบว่า กล้ามเนื้อมีกลัยโคเจน...เป็นพลังงาน มันแปลว่าอะไร
บางทีก็บอกว่ากินแป้งเสริมคาร์โบไฮเดรต กินไขมันเพื่อสร้างพลัง กินน้ำตาลเพื่อบำรุง
คำตอบถือว่า...ใช้ได้ทั้งนั้น เพราะ...สุดท้าย...มันจะกลายเป็น เอทีพี. ในที่สุด
ที่มันเกี่ยวกับการฝึกวิ่งเร็วเพราะว่า... การเปลี่ยนแป้ง..ไขมัน...น้ำตาล เป็น เอทีพี. มีเรื่องที่น่าสนใจ เพราะ...การวิ่งต้องมีการผลิตพลังงาน แล้วพลังงานที่ผลิตจากแป้ง...ไขมัน น้ำตาล...มันยากง่ายต่างกัน ความแตกต่างตรงนี้แหละ...ที่ต้องรู้
-กลูโคล 1 โมเลกุล ได้....... เอทีพี. 2 ตัว
-กลัยโคเจน 1 โมเลกุล ได้........ เอทีพี. 3 ตัว
-กรดไขมัน 1 ตัว ได้.................เอทีพี. 147 ตัว
-neutral fat 1 โมเลกุล ได้.... เอทีพี. 441 ตัว
จะเห็นว่า พลังจากไขมัน....มีค่าพลังงานมาก เมื่อเทียบกันต่อโมเลกุล นักวิ่งมาราธอน หรือมินิ ฯ จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานจากไขมันเป็นหลัก เหตุผลก็คือ การวิ่งนานๆ.....ต้องใช้พลังงานมาก
ร่างกายจึงมีระบบเปลี่ยนไขมันเป็น เอทีพี. เมื่อต้องทำงานนานๆ แต่..นักวิ่งต้องทราบว่า.... การเปลี่ยนไขมันเป็นพลัง หรือการใช้ไขมัน ร่างกายต้องใช้เวลามาก การออกกำลังจึงเหมาะแก่การที่ใช้กำลังต่ำแต่ทำงานจำนวนมาก หมายความว่าเป็นการวิ่งเบาๆ วิ่งนานๆ แต่คราวใดที่นักวิ่งเพิ่มความเร็ว พลังงานที่ได้จากไขมัน ย่อมผลิตไม่ทัน ร่างกายก็เลยไปเอากลัยโคเจนมาเปลี่ยนเป็นเอทีพี. กลัยโคเจนในกล้ามเนื้อก็เกิดการหายไป...
ถามว่ากลัยโคเจนที่หายไป...ไปเป็น เอทีพี ใช่ไหม ?
ตอบว่า...ใช่ ...ก่อนลงแข่งต้องโหลดคาร์โบไฮเดรต เพราะยิ่งโหลดได้มาก...
กล้ามเนื้อก็มีพลังสำหรับความเร็วมากๆได้ดี จะถามว่า...เมื่อวิ่งช้า ร่างกายใช้ไขมันเป็นเชื้อพลัง
เมื่อวิ่งเร็ว.....ร่างกายใช้กลัยโคเจนเป็นเชื้อพลัง ถ้าวิ่งเร็วขึ้นนิดหน่อย....ร่างกายจะใช้อะไรเป็นเชื้อพลัง ? คำตอบเรื่องนี้เหมือน...เปิดเผยความลับของแชมป์ เพราะร่างกายจะใช้ทั้ง ไขมันและ กลัยโคเจน มันจะใช้ตามสัดส่วนของการวิ่งเร็วหรือช้า คือ...การวิ่งที่เลยความเร็วของไขมัน...จะเสริมด้วยกลัยโคเจนแปลว่า.ร่างกายยังคงผลิตพลังจากไขมัน แต่ก็เพิ่มความเร็วด้วยกลัยโคเจน
ดังนั้น...ความเร็วที่เกินจากความเร็วปกติของนักวิ่ง...ร่างกายจะดึงเอากลัยโคเจนมาเสริมขณะเดียวกันมันก็เร่งผลิตพลังออกมาให้ทันการใช้งาน การเร่งผลิตพลัง...ร่างกายก็ไปหยิบเอาเอทีพี ที่มีในกล้ามเนื้อมาใช้ก่อน ในขบวนการผลิตพลังนี้..มีกรดแลคติคเกิดขึ้นตามมาด้วย
เจ้ากรดแลคติคตัวนี้แหละ ที่สร้างปัญหาให้นักวิ่ง เพราะมันจะไปห้ามการผลิตพลังของร่างกาย...นักวิ่งก็เลยวิ่งช้าลง คำตอบจึงเป็นว่าวิ่งช้าลงเพราะกรดแลคติค วิ่งช้าลงเพราะการผลิตพลังงานทำได้ช้า รู้อย่างนี้นักวิ่งที่ปราถนาความเร็ว...ต้องสร้างความอดทนต่อกรดแลคติค ดังนั้นจึงต้องฝึกวิ่งที่ความเร็วสูงๆ เพื่อให้เกิดกรดแลคติดเสียก่อน แล้วก็ผ่อนการวิ่งลง เพื่อให้ร่างกายเอาออกซิเจนไปแก้แลคทิคเอากลับมาเป็นพลังงานใหม่ คือการเอาแลคติคมาสร้างเอทีพี....ซึ่งต้องใช้ขบวนการมีออกซิเจนเป็นตัวประกอบหลัก การวิ่งเร็วสลับช้า...หรือการวิ่งเร็วแล้วมีช่วงพัก....ก็ด้วยเหตุผลคือ... ให้ร่างกายรู้จัก และชินชากับกรดแลคติด หรืออีกนัยหนึ่ง....ให้ร่างกายรีบๆเอาออกซิเจนไปผลิตพลังงาน หรือเรียกอีกอย่างว่า การเพิ่ม ความสามารถใช้ออกซิเจนสูงสุด
จะเห็นว่าความเร็วที่นักวิ่งจะทำได้...ขึ้นอยู่กับการผลิตเอทีพีนั่นเอง ถ้าขืนวิ่งเร็วกว่าการผลิตเอทีพี...ก็เกิดการเป็นหนี้ออกซิเจน จำเป็นจะต้องผ่อนความเร็วลง เวลาแข่ง....ต้องคิดถึงกลัยโคเจนที่สะสม กับพลังที่ผลิตได้ อุปมาเหมือนถังน้ำใบหนึ่ง ดังนี้...
1.ให้ถังน้ำใบหนึ่ง มีขนาด 500 ลิตร
2.ปล่อยน้ำออกนาทีละ 5 ลิตร....จะปล่อยได้ 100 นาที
3.ถ้าปล่อยน้ำออกและเข้าเท่ากัน....จะปล่อยน้ำได้ตลอดเวลาไม่มีพร่อง
4.ปล่อยออก 5 ลิตร/นาที ปล่อยเข้า 4 ลิตร/นาที...หายไปนาทีละ 1 ลิตร
สามารถปล่อยน้ำได้ 500 นาที น้ำหมดถัง
-ถ้าเปรียบน้ำในถัง 500 ลิตร คือกลัยโคเจนในกล้ามเนื้อ...เปรียบได้ในข้อ 1
-ถ้าเปรียบเหมือนการใช้พลังวิ่ง โดยไม่มีการผลิตเพิ่ม...เปรียบได้ในข้อ 2
-ถ้าเปรียบวิ่งไป ผลิตพลังไป ใช้กับผลิตได้เท่ากัน.....ก็เหมือนในข้อ 3
นี่คือความเร็วประจำตัวของนักวิ่ง ไปได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
-ถ้าเปรียบการใช้พลังมากกว่าการผลิตพลัง....ก็เปรียบได้ในข้อ 4
เวลาแข่งนักวิ่งจึงต้องคิดว่าจะใช้พลังในกล้ามเนื้อเมื่อไรเพราะพลังส่วนนี้ ใช้เพิ่มความเร็วได้
นักแข่ง...มักจะหลอกให้หน้าใหม่ใช้พลังในส่วนที่เก็บในกล้ามเนื้อให้หมด... ก็โดยหลอกให้วิ่งเร็ว เพื่อให้ใช้กลัยโคเจนให้หมดไป...นี่โดนหลอก เมื่อพลังในกล้ามเนื้อหมดแล้ว...ก็เหลือแต่พลังที่ผลิตได้จากไขมัน แปลว่า....เร็วไม่ได้ กว่าจะฟื้นตัว....ก็โดนทิ้งหายไปแล้ว
ขอบคุณที่มา : สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย
Thaijoggingclub.net