๐ แหวกว่ายทวนกระแสโลก ๐

แหวกว่ายทวนกระแสโลก


โลกของเรานี้มีธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเป็นรูปธาตุ จึงมีนามธาตุมาประกอบรวม ก่อเกิดเป็น พืช สัตว์ และคน ซึ่งทุกสิ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน

ลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสัตว์ผสมพันธุ์ตามฤดูกาลเท่านั้น...นั่น
ซิ ทำไมมันถึงต้องผสมพันธุ์ เฉพาะในฤดูกาลเท่านั้น.....?
ก็เพราะธรรมชาติมีหลายฤดู มีทั้งฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน พวกสัตว์ก็จะรู้สภาพความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศตามสัญชาตญาณ เช่น พวกสุนัข จะผสมพันธุ์ช่วงปลายฤดูฝนแล้วไปออกลูกตอนฤดูร้อน ก็เพราะธรรมชาติของสุนัขเวลาจะตกลูกก็มักจะใช้ขาหน้าตะกุยดินให้เป็นโพรงลึกประมาณหนึ่งเมตร แล้วตกลูกหลบภัยเอาไว้ในหลุมจนกว่าลูกๆ แข็งแรงพอ แม่ของมันจึงจะพาขึ้นจากหลุม สุนัขจึงไม่ผสมพันธุ์กัน ก่อนหน้าฝนเพราะหากมันไปออกลูกเอาตอนฤดูฝนน้ำจะมาท่วมโพรงดินของมัน สุนัขต้องปรับการผสมพันธุ์เข้ากับธรรมชาติ

ปลาก็จะผสมพันธุ์ในต้นฤดูฝนโดยแหวกว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำลำธาร ถิ่นกำเนิด โดยมันจะจำกลิ่นลำน้ำตอนที่พวกมันยังตัวเล็กๆ ได้ดี ....ที่ปลามักจะผสมพันธุ์วางไข่ในฤดูฝน ก็เพราะช่วงนี้น้ำมาก อาหารของพวกมันจะอุดมสมบูรณ์

การอพยพของสัตว์ก็เกี่ยวเนื่องสัมพันธุ์กันด้วย เอาเรื่องนกก่อนนะ นกหลายชนิดที่ต้องบินอพยพจากประเทศหนึ่ง ไปหากินในอีกประเทศหนึ่ง เพราะในพื้นอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของพวกมันอันอุดมไปด้วยปูปลานั้นเข้าสู่ฤดูหนาว พื้นน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง พวกนกก็จะพากันบินไปยังแหล่งที่อบอุ่น และพวกนกมันก็ผสมพันธุ์กันในช่วงนั้น พอลูกของมันโตบินได้ พื้นที่นั้นก็จะถึงฤดูแล้งพอดี นกเหล่านั้นก็จะพากันบินกลับถิ่นเดิมเพราะน้ำแข็งละลายแล้ว อาหารปูปลาจึงมีเหมือนเดิม


ม้าลาย และพวกสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร อพยพจากพื้นที่หนึ่ง ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง เป็นระยะทางไกลถึง ๔๐๐ กิโลเมตร นั้นเป็นเพราะความแห้งแล้งมาเยือน พวกมันก็จะพากันอพยพไปยังพื้นที่ใหม่ตามเส้นทางอันโหดร้าย ต้องข้ามแม่น้ำที่มีจระเข้ มีเสือ มีสิงโต คอยรังควาน ครั้นพวกมันอพยพมาถึงทุ่งหญ้าอันเขียวขจีตัวเมียที่ท้องแก่ก็จะพากันตกลูก แล้วพอพวกลูกของมันโตแข็งแรงขึ้น พื้นที่ตรงนั้นก็เริ่มแห้งแล้ง มันก็อพยพกลับถิ่นเดิมซึ่งขณะนี้กลายเป็นทุ่งหญ้าอันเขียวขจี

ธรรมชาติจึงเป็นตัวกำหนดช่วงเวลาการผสมพันธุ์ของสัตว์ แต่ปัจจุบันคนได้นำเอาวิทยาศาสตร์ไปกระตุ้นหรือเร่งพวกสัตว์ให้มันขยายพันธุ์นอกฤดูกาล หรือการผสมพันธุ์สัตว์ตามความต้องการของตน

คนเรานั้นสามารถช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชีวิตพืชและสัตว์ให้คงความสมดุลสมบูรณ์ได้อีกยาวนาน และคนก็จะเป็นผู้ทำลายระบบนิเวศของธรรมชาติให้ย่อยยับลงได้ทุกเมื่อเช่นกัน

ลุงเคยฟังพระเทศน์ว่าสัตวโลกจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดกัปกัลป์ เป็นวัฏฐจักรวนเวียนไปไม่มีหยุด เว้นแต่พระอรหันต์ ที่ท่านได้ปรินิพพานไปแล้วเท่านั้นถึงจะไม่มาก่อเกิดอีกเลย”

พวกสัตว์เดรัจฉานก็จะเกิดมาใช้กรรมเกิดๆ ตายๆ วนเวียนไม่รู้จะนานแสนนานเท่าไหร่ กว่าพวกมันจะได้เลื่อนฐานะขยับมาเกิดเป็นคนได้ แม้ผู้ที่เกิดมาเป็นคนแล้ว แต่ไม่สั่งสมคุณงามความดีไว้ใส่ตนเลย ตั้งหน้าทำแต่สิ่งไม่ดี ทั้งฆ่าสัตว์ ลักขโมย พูดโกหก เป็นต้น คนเหล่านั้นเมื่อตายไปก็น้อยนักที่จะได้มาเกิดเป็นคนอีก ส่วนมากแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์


ลุงเคยได้ยินหลายคน บ่นท้อว่าก็เราเลือกเกิดไม่ได้นี่หว่า... ลุงก็เคยเข้าใจผิดคิดเหมือนเขาว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่หลังจากที่ลุงได้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ภาวนา ปฏิบัตินั่งสมาธิ ฯลฯ ลุงจึงมีปัญญาพิจารณารู้ว่า คนเรานั้นเลือกเกิดได้ เกิดไปสู่ที่ต่ำ และเกิดไปสู่ที่สูง จิตของเราจะเป็นดัชนีตัวบ่งชี้วัด แบ่งระดับชั้นความต่ำและสูงของจิตใจให้เอง

ลุงเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ เช่น ต้นมะม่วงพันธุ์ไม่ดีมีคนเอายอดมะม่วงพันธุ์ดีมาต่อติดยอดไว้ หลายปีต่อมามะม่วงออกผลก็จะเป็นผลของมะม่วงพันธุ์ดี ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ชีวิตแม้เคยกระทำแต่สิ่งที่ไม่ดีมาก่อน แต่เมื่อสำนึกได้รีบหยุดกรรมอันไม่ดีนั้น แล้วตั้งตนตั้งใจกลับมาทำแต่สิ่งที่ดีๆ ประพฤติตนอยู่ในกรอบของศีลห้าเป็นอย่างน้อย อนาคตก็จะจัดสรรไปเป็นคนดีคนใหม่ได้...สิ่งใหม่ก่อเกิด สิ่งที่เราทำในปัจจุบันจะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดผลในอนาคต

"เราเริ่มตนทำดีในวันนี้ก็เท่ากับว่าเราได้เลือกที่จะไปเกิดในชาติต่อไปตามเส้นทางที่เป็นกรรมดีๆ ที่เราได้สะสมเอาไว้นั้นเอง ลุงหวังว่าทุกคนคงจะพอมีความคิดจิตสำนึกกลัวบาป และอยากจะเป็นผู้ที่คิดดีทำดี มีคุณธรรม เป็นที่พึ่งของทุกรูปนามได้"


๐ ลุงขอบอก ๐ ..
- เรื่องเล่าจากลุงโด่ง -
- TotalAwake - Mindfulness and Meditation Training/เฟสบุ๊ค/บ้านมหา.คอม