ชนกำแพง
อาการชนกำแพง...ก็คือหมดเรี่ยวหมดแรง วิ่งต่อไม่ได้
เกิดจากการวิ่งที่ยาวนาน และรวดเร็ว
ร่างกายผลิตกำลังไม่พอใช้
คือความสามารถในการหดตัวของกล้ามเนื้อ มันมากกว่าความสามารถในการผลิตพลังงาน
พลังก็ผลิตไม่ทัน...ไม่ทันยังไง...ว่ากันยาวทีเดียว
นักวิ่งก็ยังฝืนวิ่งไปๆ...ๆ....ๆ
สิ่งที่จะตามมาก็คือไกโคเจนหมดไป...
ตอนนี้ก็เหลือแต่พลังของไขมัน...ที่เอามาใช้ได้
แต่ควรทราบว่าขบวบการเอาไขมันมาเป็นพลัง ถึงจะมีมาก แต่ก็มีขบวนการยุ่งยาก เสียเวลา
ถ้าเรายังใช้ไขมันเป็นพลัง...จะไม่มีชนกำแพง
นักวิ่งก็ต้องพักผ่อนให้เวลาแก่ร่างกาย ผลิตสารเอทีพีขึ้นมาใหม่ คราวนี้ผลิตด้วยไขมัน...ก็ต้องเสียเวลา
ที่หมดเรี่ยวหมดแรง ก็กลับมีแรงไปได้อีก...หากได้พักผ่อน
การหมดแรงชั่วคราวนี้ คือความหมายว่า พลังที่จะใช้ทำความเร็ว หมดไปแล้ว
แต่ตอนหลังนี้..ท่านไปได้แต่พลังไขมันเท่านั้น..พลังเสริมความเร็วหมดแล้ว
ถึงจะวิ่งต่อได้อีก ก็เป็นความเร็วจากไขมัน...
ซ้อมมาแบบไหนก็ไปได้แบบนั้น
พวกเคนย่าซ้อมแบบใช้ไขมันบ่อยๆ...ไปเร็วด้วยไขมันได้
เราต้องเอาอย่างนั้นบ้าง...และ
เราอย่าเอาไกโคเจนไปแลกหมัดกับไขมัน...ไปได้ไม่นาน...ก็หมด..
ดังนั้นการแข่งในแต่ระยะทาง...ต้องจ้องที่จะเก่งในระยะที่เคยซ้อมไว้...
เพื่อเอาไกโคเจนมาใช้ให้มีฟอร์มสูงสุด ในเวลาที่คาดหมาย
ควรทราบว่าพลังจากไขมัน มีมากไม่จำกัดจำนวน ทำให้นักวิ่งออกแรงได้ย่าวนาน
แต่ไกโคเจน มีจำนวนจำกัด ใครสะสมไว้มาก มีโอกาสทำความเร็วได้เร็วและนาน เท่าที่สะสมได้
จึงเกิดการสะสมไกโคเจนก่อนแข่งขัน ในระยะเวลา 6-7 วันก่อนลงสนามจริง
นักวิ่งต้องบริหารพลังด้วยการใช้ไขมันให้มากๆไว้
เก็บพลังจากไกโคเจนเอาไว้แซงคู่ต่อสู้
ขณะวิ่งจึงต้องหมั่นผ่อนการวิ่งเร็วกว่าซ้อมไว้ มิฉะนั้นไกโคเจนหมดก่อน
หากนักวิ่งประสบกับการชนกำแพง...ไม่ต้องเสียใจ...ไม่ต้องวิ่งต่อไปให้เสียเวลา...
ยอมแพ้ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป
การบริหารการใช้งานไกโคเจน...ต้องเรียนรู้ไว้...มิฉะนั้น ท่านเจอ "ชนกำแพง" ได้
ลองมาพิจารณาว่าไกโคเจนใช้ได้นานเท่าใด...
หากวิ่งเร็วสุดๆ...ได้ 8 นาที
หากวิ่งไม่เร็วนัก ได้เฉลี่ย 1-2 ชั่วโมง
รู้อย่างนี้ บางคนคิดออกหมดแล้ว..
เวลายาวนานแค่ไหน..ท่านว่าดูตอนซ้อม
หากท่านใช้ไกโคเจนหมดในเวลา 1 ชั่วโมง....ต้องกะระยะวิ่งให้ไปหมดที่เส้นชัย...
แปลว่าไปชนกำแพงที่เส้นชัย...
อย่างนี้เรียกว่าสู้สุดตัว
หากโดนหลอกให้วิ่งเร็ว...ควรทราบว่าจะให้แนวหน้ามันหลอกได้กี่นาที
เพราะเต็มที่ได้แค่ 8 นาที
อย่าหลงไปไล่กวดแนวหน้านานนัก
ตัวหลอกอาจไม่ใช่ตัวจริง
จะพลอยชนกำแพงทั้งตัวหลอก ตัวล่อ
ดังนั้นอาการชนกำแพง เกิดได้เสมอ แม้จะมีการฝึกมาดี...
ความหมายก็คือ บริหารพลังในตัวไม่ดีพอ...
วางแผนมายังไง ไม่วิ่งตามแผน เกิดอยากประกบกับคนวิ่งเร็ว...เดี๋ยวก็จอด
นักวิ่งที่ชนกำแพงแล้ว...จะมีอาการบ็องค์ ตามมาได้
การช่วยเหลือต้องระมัดระวัง...คนช่วยอาจโดนชกได้
การชนกำแพงของแนวหน้า...แปลว่าหมดโอกาสชนะแล้ว
การชนกำแพงของแนวหลัง...แปลว่า ท่านซ้อมมาไม่ดี
การชนกำแพงของนักวิ่งทั่วไป...ก็คือ ใช้พลังไม่ถูกต้อง
หากจะเอาแค่...ทำได้
ใช้พลังไขมันเป็นหลักไว้ก่อน...ไม่เจอกำแพง
พูดอีกแบบก็คือ วิ่งช้า
วิธีก็คือ...วิ่งให้ช้าลง หายใจสบายๆ
อย่างนี้ ไม่ชนกำแพง...สุขภาพก็ดีด้วย
ที่มา:สมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย
Thaijoggingclub.net