นานๆ ผมจะมีเรื่องใหม่ปัจจุบันสักเรื่อง คือเรื่องแกะไม้สักที่ลงไปแล้ว ทีนี้ก็กลับมาดูเรื่องเก่าที่ถนัดอีกครั้งครับ
เล่าเรื่องเก่าปีที่ผ่านมา น้ำท่วมรังสิต ที่พักโรงงานมิดคอ โรงงานปิดไม่มีกำหนด เงินเดือนถูกตัด ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ผ่อนรถผ่อนบ้าน ค่าครองชีพ ฯลฯ
กลับอีสานสองเดือน ได้เห็นชีวิตอีกแบบหนึ่งก็คือชีวิตแบบเก่า ๆ ที่ผมทิ้งมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นชีวิตที่มีความสุขหรือเปล่า ผมก็ไม่กล้าตอบแทน
ช่วงนั้น ปลายตุลาคม-พฤศจิกายน รอเกี่ยวข้าว เห็นพ่อตา (พ่อของสาวขะแมร์) ตื่นเช้าขึ้นมารีบไปจับไก่ในสุ่ม มาล้างหน้าล้างตา เช็ดตัวประคบยา
และจบด้วยการซ้อมไก่ชน มีเซียนไก่ละแวกนั้นมาห้าคนสิบคนแล้วแต่วัน ห้าวันสิบวันซ้อมกัน วันละคู่สองคู่
ผมดูพ่อ ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไร ใช้ชีวิตสบาย ๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ก็เพราะพ่อเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ เช่นนี้ "พ่อจึงไม่รวย"
ซึ่งผิดกับผม ชีวิตประจำวันของผมคือ
ตื่นแต่เช้าเปิดทีวี มีแต่ข่าวเขาฆ่ากัน
อาบน้ำล้างหน้าแต่งตัวไปทำงาน
หงุดหงิดแต่เช้าแย่งกันใช้ถนน
ชีวิตลูกชาวนาปลูกข้าวแต่ต้องมาเข้าแถวซื้อข้าวแพง ๆ กิน
ชีวิตลูกจ้างทำมากก็ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม แต่ก็ยังดีบางครั้งทำน้อยก็ยังได้ค่าตอบแทนเท่าเดิมเช่นกัน
ผมเฝ้าโรงงานมายี่สิบปีแล้วครับ ทำทั้งปี
หยุดหลายวันปีใหม่สงกรานต์แต่ก็ต้องไปหงุดหงิดร่วมกับพี่น้องบนท้องถนนตอนเดินทางกลับต่างจังหวัด
เสียเวลากับการเดินทางไปกลับสองวัน อีกสองวันพักเหนื่อย สองวันล้อมวงพบปะพี่น้อง หยุดจริงแทบไม่มีเลย
ผมทำงานตลอดทั้งปี มายี่สิบปี ต่างจากพ่อที่ทำนาปีละครั้ง ทำจริง ๆ ไม่ถึงสามสิบวันต่อปี
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมมีเหมือนกันกับพ่อคือ "ไม่รวยเหมือนกันครับ"
ผมพูดเกริ่นไปเรื่อยนะครับ แต่อีกมุมนึงก็บอกกับตัวเองว่า ชีวิตเราเราแป็นคนเลือก เลือกแล้วก็ต้องเดินต่อไปบนเส้นทางนั้น กับความหวังเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ในใจ
และช่วงเวลาสองเดือนที่น้ำท่วมนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในรอบยี่สิบปี
ได้อยู่กับพ่อแม่ ทั้งทางโน้นทางนี้
ได้อยู่กับท้องไร่ท้องนา นอนฟังเสียงกบเขียดร้อง
เห็นอาทิตย์ขึ้น อาทิตย์ตกหลังเขาพนมรุ้ง
เห็นพระจันทร์เต็มดวงวันออกพรรษา
เห็นดาวระยิบเต็มท้องฟ้าทางช้างเผือกวันเดือนมืด
ผักอาหารปลอดสารพิษจากข้างรั้ว หลังบ้าน ท้องนา ไม่ต้องซื้อแพงแย่งกับใคร
ไม่ต้องเดินทาง ไม่หงุดหงิด
ไม่มีนายจ้างหัวหน้าลูกน้อง
ตอนนั้นผมไม่เคยคิดถึงโรงงานเลย อ้อก็ยังคิดถึงอยู่วันนึงครับ
อยู่กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์สวยงามอีกมากมาย
และทุกอย่างนั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปดูที่ไหนไกล ๆ
ทุกอย่างหาดูหาฟังได้ที่นอกชาน หน้าบ้าน หลังบ้านและน้องนาครับ
อาจจะไม่สวยงามเท่ากับปาย วังน้ำเขียว (ไม่เคยไป ได้ยินแต่คนเล่าให้ฟัง) แต่ที่ดีกว่าคือเห็นทุกวันทุกคืนถ้านอนดึกตื่นเช้า และไม่เสียเงิน
ตื่นเช้ามา พ่อจะรีบมาล้างหน้าไก่ ข้าวมีอยู่เต็มยุ้งแล้วแต่ใครจะตักมาหุงหา
เวลาเหลือจากการทำนา สามร้อยกว่าวัน พ่อคงไม่อยากทิ้งให้เสียเปล่าเลยนำมาใช้ประโยชน์ซะเลย
เตรียมอุปกรณ์ภาคสนามเสร็จ สนามกีฬาในร่มส่วนตัว(ร่มมะขาม) ของพ่อสาวขะแมร์
เป่านกหวีด วางขัน อันหนึ่งเริ่มแล้ว
คู่แรก ไอ้เทา กับ ไอ้เหลืองวัลเตอร์ แข้งใหญ่ทั้งคู่
คู่สอง ไอ้ดำ กับ แจ้หงอนตัวจี๊ด
คู่สาม ไอ้แดง กับ เหลืองแดง
วันนี้ซ้อมกันห้าหกคู่
กับอริยาบท สบายๆ ช่วงประเมินผล หลังเกมจบ ดูเป็นชีวิตที่แฝงไว้ด้วยความสุขไม่น้อย
ทางนี้ก็สบายๆ พูดคุยตามประสาเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง ล้างหม้อ ก่อไฟรอ
ที่เก่ง ๆ อยู่ในสนามซ้อมเมื่อสักครู่ มาพักอยู่ในสุ่ม และมันย้ายมาอยู่ในหวดนี่ ก็เป็นไปตามสเต็บ ไม่คิดอะไรมาก
กีฬาสอนให้เยาวชนรู้จักอดทนและมีน้ำใจ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ได้ดักลอบจับปลาในนา
ไปทางสารคาม ต่งปลาครับ
พ่อปล่อยน้ำออกจากนาเตรียมเกี่ยว พอน้ำลดสัญชาตญาณปลาหมอเขาต้องตะเกียกตะกายไปหาแหล่งน้ำลึก
นั่งจับเอาเหมือนท้าวสังข์ทอง สบายๆ ต้มใส่ใบมะขาม
ปลาดุกน้อยลงผ้าเขียว แล้วแต่ปีครับ บางปีก็ไม่มี เอามาหมก ที่เหลือปล่อยลงสระ สุดท้ายเป็นอาหารปลาช่อนหมด สาส่างเหลือไม่กี่ตัว
ยามไข่เป็ดของพ่อ ค่อยๆ เปิดเหมือนเล่นบักหลังลาย ลุ้นว่าจะได้กี่แต้มโอ๊ะกี่ฟอง ก็สร้างความสุขเล็กๆ ได้ในแต่ละวัน
เป็ดกินข้าว หอยปู ไข่แดงโตมาก เอามาชุบปลาซิวทอด เมนูปลอดสารพิษประยุกต์ตามวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น ทำแล้วกินเอง แซ่บไม่มีที่ติ
ได้ดูดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า และดวงอาทิตย์ตกหลังเขาพนมรุ้งยามเย็น ผมว่าก็ดวงเดียวกันกับที่ตกแหลมพรมเทพนั่นแหละครับ แต่ที่นี่เห็นทุกวัน
ทะเลหมอกเล็กๆ ส่วนตัวในนาข้าวครับ ดูและเดินเข้าไปสัมผัสได้
หมอกลงจัดสี่ห้าวัน จนเป็นแม่คะนองเต็มคันนา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงกู้ข้าวกันสนุก แต่จะเปียกและหนาวจักหน่อย
เดินตามน้องไปลุ้นบ้วงดักหนูยามเช้า
ได้ไปเที่ยวงานลอยกระทงน้อยที่อ่างเก็บน้ำเขาพนมรุ้ง สวยงามทั้งกระทงและพระจันทร์
ลอยกระทงในเมือง ประทัด กระโพกเยอะครับ กระทงไปไม่ถึงไหน เด็กน้อยโตนจุ๋ม เซางามจ้อย เบิดอารมย์
ไปดูหม้อหินใหญ่ ที่แหล่งหินตัดบ้านกรวด เที่ยวละแวกบ้านไม่สร้างภาระให้กระเป๋าครับ
และก็ยังมีหลายเหตุการณ์ที่ผมมีความสุข ผิงไฟกี่ข้าวทาไข่ ทาน้ำอ้อย
กี่หนังแก้หนาว เผาข้าวหลาม เกี่ยวข้าว ขนข้าวขึ้นยุ้ง ยามบักเขียบ ขุดมัน สาคูมาต้ม ฯลฯ
ผมขออนุญาต หยิบยืม คำคม สุภาษิต จากกระทู้ของพี่ๆ มาอ้างอิงนะครับ
ไม่มีเงินมากเท่าเขา ก็ไม่ได้หมายความว่า "เราจน"
ไม่ได้สวยได้หล่อเท่าเขาก็ไม่ได้หมายความว่า "เราขี้เหร่"
ไม่ได้เก่ง ฉลาดเท่าเขา ก็ไม่ได้หมายความว่า "เราโง่"
ไม่ได้มีในสิ่งที่เขามี ก็ไม่ได้หมายความว่า "เราขาด"
ถ้าเราไม่ได้ทุกข์ร้อน ไม่ได้กังวล ไม่ได้อิจฉา นั้นแสดงว่าเราได้สิ่งที่เราต้องการมาครบหมดแล้ว ....ว วชิรเมธี.
(จากกระทู้ของ อ้ายอีหยังสิปานนั้น)
ชีวิตคิดบวก เรื่องจริงของชีวิต (จากกระทู้ของ เอื้อยสาวสกล)
“ทำงานเพื่ออะไร....ชีวิตเธอจะอยู่ถึงวันไหน” (จากกระทู้ของ อ้ายหมูน้อย)
มีไปทำไม (จากกระทู้ของ อ้ายคนภูค่าว)
"เวลา...ไม่มีชีวิต...แต่กลืนกินกระทั่งชีวิต...แล้วเธอผู้ใช้ชีวิตเล่า
...ระหว่างทางของกาลเวลา..จะมีระยะทางของตัวเธออยู่บ้างไหม ?.." (จากกระทู้ของ เอื้อยญา ทิวาราช)
บางครั้งชัยชนะก็ขึ้นอยู่กับขนาดของหัวใจ (จากกระทู้ของ เอื้อยไก่น้อย)
ก่อนหน้านี้วิตกกังวลมาก โรงงานปิดเราจะทำอะไรกิน บ้านรถผ่อนยังไม่หมด จะเอาตัวรอดได้อย่างไร
ได้มาเห็นชีวิตแบบนี้เข้า และนำมาเปรียบเทียบกับภาษิต ที่ขอยืมหยิบยกมานี้
ทำให้ไม่กลัวอะไรแล้วครับ มีอาชีพสำรองไว้แล้ว เผลอๆ ได้เป็นผู้จัดการ
ช่วงนี้มีโอกาสหาเงินได้ก็หาไปก่อน
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ ขอบคุณพื้นที่บ้านมหา
Bookmarks