จงวิ่งให้เป็นธรรมชาติ
“การวิ่ง”....เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์
ดังนั้นการลงมือวิ่งจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก ความที่มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
คนเรามี”การวิ่ง”เป็นกิจกรรมจำเป็นตั้งแต่สมัยอยู่ถ้ำ และล่าสัตว์
ตลอดจนยุคสมัยที่เราหลีกหนีภัยอันตราย เมื่อหลายพันปีก่อน
“การวิ่ง”....เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่อยากวิ่งก็ต้องวิ่ง ถ้าไม่อยากอดตาย
เราวิ่งต่อเนื่องมาเป็นพันๆปีนี้ มันเท่ากับเพาะสร้างวิถีวิ่งให้ร้อยรัดไปกับ
ชีวิตทั้งหมดจนแยกไม่ออก จนกระทั่ง ทุกวันนี้เราไม่มีความจำเป็น
ต้องวิ่งอีกแล้ว ซึ่งนั่นคือเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง
ถ้าจะดูสัดส่วนระยะเวลาที่เป็นกิจวัตรที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งแล้ว
ในระยะหลังมานี้ ถือว่าสั้นมากในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ
กำลังจะบอกว่า “การวิ่ง” จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต่อการคงอยู่
ของคุณภาพชีวิตที่ดีเสมอ ไม่ว่ายุคถ้ำดึกดำบรรพ์หรือยุคสามจีก็ตาม
สิ่งที่เราควรทำก็เพียงแต่รื้อฟื้นสัญชาติญาณการวิ่งในเลือดเนื้อลึกๆให้กลับมาคุโชนขึ้นอีกครั้ง
สำหรับรายที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย การวิ่งในสัปดาห์แรกๆ
อาจเป็นของแปลกแยก แต่เพียงเดือนหนึ่งให้หลัง เราย่อมเข้ากับกิจวัตรใหม่เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
นี่เป็นเพราะ เรารื้อฟื้นความหลังเก่าก่อนได้สำเร็จนั่นเอง
แม้จะปราศจากองค์ความรู้ในการออกกำลังกายใดๆ ทุกคนก็สามารถเข้าถึง
การปฏิบัติกิจกรรมวิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมได้ไม่ยากนัก เพียงแต่รู้จักใช้สามัญสำนึกธรรมดาๆ เช่น
ล้ามาก ก็วิ่งน้อยลงเหนื่อยนักก็พักหยุด ไม่สบายก็ไม่ต้องวิ่ง
วิ่งด้วยความเร็วที่เป็นตัวของเรา ไม่ใช่วิ่งด้วยความเร็วของผู้อื่น
วิ่งมากก็หิว หิวก็กิน ตั้งแต่มาวิ่ง อยู่ดึกไม่ได้ ง่วงแต่หัวค่ำ ก็นอนไปอย่าฝืน
เพียงเท่านี้ ก็สามารถ “เอาตัวรอด” ได้เยอะแล้วในโลกแห่งการออกกำลังกาย
จากประสบการณ์ เราจะพบเห็นคนสมัยใหม่จำนวนมากเอาตัวไม่รอด
จากความพยายามลดน้ำหนัก จากความปรารถนาสุขภาพที่ดี
จากโปรแกรมลดอ้วน ไปเชื่อคำแนะนำที่แอบแฝงผลประโยชน์ทางการค้า
หาซื้ออาหารเสริมราคาแพง หรือแม้แต่สิ่งที่ไร้สาระอย่างกางเกงยืด
ที่จำเพาะยี่ห้อ ใส่เพื่อเป้าหมายพิเศษ โดยปราศจากองค์ความรู้ยืนยัน
หรือสารพัดภัยจากความสิ้นเปลือง ทั้งๆที่มันหาได้สอดคล้องกับสามัญสำนึกใดๆไม่
ในเมื่อเป้าหมายคือออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แล้วทำไมต้องโหมฝึกวิ่งกัน
เพื่อให้ได้รับรางวัลอันดับอย่างเอาจริงเอาจังจนเกินไป
จนไม่สามารถวิ่งได้ตลอดอายุขัย มีอันเป็นไปต่างๆ
แต่ถ้าสมัครใจจะเอาตรงนั้น จะเลือกเดินวิถีแห่งแชมป์เพื่อความภาคภูมิแห่งตน
แต่ก็ยังสมัครใจเลือกหาเอาอุปสรรคการพัฒนาวิ่งมาสุมหัวตนเอง
กว่า 90% ของนักวิ่ง ที่ยังยินดีดื่มกินเครื่องดื่มที่เข้าแอลกอฮอล์
อย่างหนึ่งอย่างใดอยู่อย่างน่าชื่น ไม่ชอบวอร์ม , ปฏิเสธการยืดเส้น
และไม่ยอมคูลดาวน์ น้ำไม่ยอมดื่ม จนกว่าจะฝึกเสร็จ หรือรับน้ำน้อยมาก
มองการฝึกวิ่งที่ถูกหลักวิชาว่า “เครียด” พร้อมๆกันก็เรียกร้องให้ผู้จัดแข่งขัน
แยกนักวิ่งเคนย่าออกไป ไม่ชอบฝึกหนัก แต่อยากได้รางวัล น่าประหลาดแท้
ที่พรรณนามาทั้งหมด แม้เจ้าตัวจะวิ่งได้เร็วแต่ในธาตุแท้มันคือ
“การไม่พัฒนา” กล่าวคือ วิ่งแล้วเอาตัวไม่รอด ร่างกายที่กรอบเกรียบ
ตั้งอยู่บนเรือนใจที่รักความสบาย ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นเงื่อนไขที่เป็นคุณ
ต่อ “สุขภาพ” ใดๆ กระทั่งไม่ควรมีตำแหน่งยืนบนโพเดี้ยมไหนๆเสียด้วยซ้ำ
เพียงสามัญสำนึกธรรมดา ก็บอกได้ว่า การวิ่งอย่างเพื่อการแข่งขัน
ย่อมต้องทำตัวคนละอย่างกับนักวิ่งเพื่อสุขภาพธรรมดา อีกทั้งการ
จัดร่างกายและการเตรียมจิตใจ ก็ต้องมีความเข้มข้นกว่ากัน
อยากวิ่งได้เร็วขึ้น แต่ไม่พยายามศึกษาองค์ความรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร
เจออุปสรรคที่ไกลหน่อยก็ท้อซะแล้ว ไม่ยอมกระโจนลงเบ้าหลอม
กลัวร้อน แล้วมันจะได้ไหมเนี่ยะ
เพียงสามัญสำนึกธรรมดาก็จะรู้ว่า แข่งใกล้กันจัด มันจะวิ่งได้ไม่ดี
แต่ก็ยังทำ แค่นี้ก็ก้าวไม่ผ่าน อดเปรี้ยวกินหวานไม่เป็น
ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรซับซ้อน เพียงแค่ว่า ระยะทางมากมาย
ที่ยัดเข้ามาในตารางวิ่ง อย่างไม่ทยอยเข้ามาทีละน้อย
โหมเข้ามาตามแรงฮิตเป็นอันตรายมากกว่าเป็นคุณ ก็ยังทำ
ไม่ต้องถึงกับต้องมีโค้ชมาจี้ไชกำกับก็น่าจะรู้ว่า เจ็บยังไม่หายดี
อย่าเพิ่งลงวิ่ง แต่เราก็โลภมาก ราวกับว่าการขาดวิ่งสักสัปดาห์จะขาดใจตาย
สิ่งเหล่านี้ถูกระบุเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากการไม่รู้จักใช้สามัญสำนึก นั่นเอง
การวิ่ง....ยากที่ไหนกัน เพียงแค่ใช้สามัญสำนึกให้พอเพียง
ก็เอาตัวรอดได้แล้ว ก็มีสุขภาพดีได้ และอาจถึงกับเหยียบโพเดี้ยม
ก็เป็นได้ หากใช้ความเพียรที่เพียงพอ
จงปฏิบัติฝึกวิ่ง อย่างสอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติ เท่าที่นึกได้
มีอยู่อย่างเดียวที่ฝืนเข้าไว้ คือเมื่อแรกวิ่งจงออกตัวให้ช้าๆในตอนต้น
และทรงตัวในตอนกลาง และตอนท้ายแรงขึ้นก่อนคูลดาวน์
ที่โดยธรรมดา นักวิ่งจะกลับกัน คือออกตัวเร็วเกินไป กลางแผ่ว และท้ายเหี่ยว เป็นกันเสมอๆ
จงฝืนไว้ ทำกลับกัน นี้เป็นการฝืนความเป็นไปเพียงสิ่งเดียว
ที่จงพยายามฝึกให้เกิดกับเนื้อตัวตน ทั้งการฝึกฝนและแข่งขัน(ถ้ามี)
ยิ่งถ้าจะวิเคราะห์วิจารณ์กันไปจนถึงที่สุดความเป็นจริงทางหลักวิชา
กลับคลี่คลายบอกเราว่า การฝืนธรรมชาตินี้ แท้จริงเป็นการวิ่งที่สอดคล้อง
กับธรรมชาติต่างหากด้วยซ้ำ
สิ่งที่นักวิ่งทุกคนควรปฏิบัติคือ “จงวิ่งให้เป็นอย่างธรรมชาติ” เป็นคำสรุปรวบยอดที่สำคัญเท่านั้นเอง
โดย อ. กฤตย์ ทองคง
ขอบคุณที่มา:http://www.forrunnersmag.com