เคยแต่พาพี่น้องบ้านมหาลงห้วยลงนาเข้าป่าหาอยู่หากิน วันนี้ผมจะพาพี่น้องไปเที่ยววัดครับ
และก่อนอื่นผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า หากภาษาที่ใช้อธิบายเล่าเรื่องบางคำอาจจะผิดเพี้ยนไปไม่ตรงตาม
ศัพท์หรือหลักไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
และขออนุญาติพี่ๆ มาสเตอร์ บ้านมหา โพสท์ลงที่หมวดนี้ก่อนนะครับ
เมื่อหลายปีมาแล้วผมโชคดีมีโอกาสได้ลางาน - อุปสมบทจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าใกล้บ้าน ชื่อวัดป่าคูขาด
หลวงพ่อเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม
ผมได้เห็นในสิ่งที่งดงาม เห็นภาพที่สวยงาม ได้อยู่กับบรรยากาศที่งดงามเป็นธรรมชาติ ชีวิตที่เรียบง่ายไม่
รีบร้อน ได้รู้จักวิถีข้อวัตรของพระป่าบ้างเล็กน้อย ผมจึงพยายามเก็บภาพเหล่านั้นไว้ดูในยามเมื่อจากไปและ
ขอนำมาเล่าให้พี่น้องได้เห็นได้ฟังอีกครั้ง หากท่านใดที่พอรู้หรือทราบดีอยู่แล้วและเห็นว่าผมเล่าผมเขียน
ผิดไป ผมต้องขอโทษขออภัยไว้ล่วงหน้าและก็ขอคำแนะนำชี้แนะด้วย เพื่อนำไปแก้ไขให้ถูกต้องอีกครั้ง
วัดป่าแห่งนี้เป็นอีกวัดหนึ่งในหลายๆ วัดป่าธรรมยุตทางภาคอีสานสายหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโณ
และหลายๆหลวงปู่ หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม วัดป่าคูขาด ตำบลหนองเรือ อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม
เป็นพระลูกศิษย์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน หลวงพ่อสวัสดิ์ ถึงวันนี้อายุใกล้ 60 ปี พรรษาเกิน 35 เคยไป
จำพรรษาที่วัดป่าต่างๆ สายหลวงปู่มั่นอยู่หลายวัด
หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม (รูปซ้ายสุด) จะเดินทางไปร่วมทำบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะที่วัดป่าบ้านตาด ที่จังหวัดต่างๆทางอีสาน หรือที่สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย 3
กรุงเทพฯ หลวงพ่อสวัสดิ์ ได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงพระธรรมเทศนาจากวัด บ้าน และสถานที่ต่างๆ ทางอีสานหรือ
ที่กรุงเทพฯ อยู่เป็นประจำ
ขออธิบายไปตามภาพนะครับ
ในช่วงเข้าพรรษาพระลูกศิษย์ทั้งหลาย (วัดป่า ธรรมยุติ) ในจังหวัดมหาสารคาม จะพร้อมใจกันมาถวายเครื่อง
ไทยทานขอขมาพระอาจารย์ ซึ่งในหนึ่งพรรษาหรือวันเวลาที่ผ่านมาอาจจะเคยพูด คิด ปฏิบัติไม่ดีกับพ่อแม่ครู
อาจารย์จะทำให้การปฏิบัติภาวนาทำได้ยาก (ผมจำมาจากคำพูด ของหลวงพ่อ) หลวงพ่อหรือพ่อแม่ครูอาจารย์
ก็จะสั่งสอนและให้พร กิริยวัตรอีกอย่างหนึ่งของพระป่าพระธรรมยุต ที่ผมสังเกตุเห็น เวลากราบหลังของท่าน
หรือก้นจะไม่โด่ง การกราบจะไม่ทำอย่างรีบร้อน ในระหว่างพิธีการต่างๆ จะไม่เห็นพระป่าธรรมยุต นั่งยองๆ
นั่งขัดสมาธิ(ขัด สะ หมาด) หรือนั่งเท้าแขน
วัดแห่งนี้ก่อสร้างอยู่ในเขตป่าสงวนครับ เป็นป่าเต็งรัง ป่ากุงป่าซาด(พลวง ยางเหียง) แบบทางอีสาน ไม่ค่อย
มีต้นไม้ใหญ่ กุฏิของพระประมาณสิบหลังกระจายอยู่ในบริเวณป่า แต่ละกุฏิห่างกันประมาณร้อยเมตร
ไม่มีไฟฟ้า จะมีแท้งค์น้ำประจำกุฏิ
กุฏิที่มีไฟฟ้า เป็นกุฏิที่อยู่ใกล้ศาลา สำหรับรับรองพระอาคันตุกะ
ข้อวัตรปฏิบัติ ก็เหมือนของวัดป่าทั่วไป ไม่ถึงกับเคร่งมาก คือให้คนที่บวชเป็นพระอยู่ได้โดยไม่อึดอัด
ข้อวัตรปฏิบัติผมเปิดหาดู จะมีในเว็บวัดหนองป่าพง เว็บพลังจิต เวบหลวงตา ฯลฯ เหมือนกันครับ
ตื่นเช้าตีห้า พระเตรียมศาลา อาสนะที่ฉัน เตรียมน้ำฉันใส่กา ไม่มีทำวัตรเช้าร่วมกันไม่ต้องตื่น
แต่ดึกมากครับ หลวงพ่อเองคงไม่อยากให้เป็นภาระกดดันพระลูกศิษย์มากเกินไป
ถนนหนทางบรรยากาศช่วงปี พ.ศ. นั้นยังเป็นลูกรัง ให้ความรู้สึกอิ่มใจว่าเราอยู่เราเดินเหยียบอยู่บนดิน
อีสานบ้านเกิดตลอดเวลา ในขณะที่เดินไปบิณฑบาตจะเห็นภาพชาวบ้านเริ่มทำกิจประจำวันของตัวเอง
เริ่มออกทำมาหากิน ดูไม่รีบร้อนต่างจากในเมืองที่เคยอยู่ วัดและหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดห่างกันประมาณสอง กม.
หกโมงเช้าออกจากวัด เจ็ดโมงเช้ากลับเข้าวัด
ความงดงามที่เห็นได้ในยามเดินออกบิณฑบาตนั้น คือภาพที่ย่ายายเตรียมข้าวและอาหารที่พอจัดหาได้ยืนรอ
นั่งรอพระ ความงดงามที่ได้สัมผัส ผมมีความสุขที่ได้พบเห็น ถึงจะฝนตกฟ้าร้อง พระก็ต้องไปบิณฑบาตครับ
เห็นย่ายายยืนกางร่มตากฝนใส่บาตรแล้วมีความสุขมาก สุขใจที่ได้เห็น สุขใจที่ได้รับ สุขใจที่ครั้งหนึ่งเราได้
ร่วมอยู่ในบรรยากาศที่งดงาม
อาหารจากการบิณฑบาต หลักๆ ก็จะเป็นข้าวเหนียวนึ่ง กับข้าวน้ำพริกปลาร้า แค่นั้นก็เพียงพอและเป็น
อาหารที่วิเศษแล้วเทียบกับน้ำใจของผู้ให้ มีอาหารจากโรงครัวมาเพิ่มเติมครับ เรื่องอาหารการกินมีเพียงพอ
ที่โรงครัวมีญาติโยมที่ใจบุญนำอาหารมามอบไว้ ไว้ปรุงถวายพระอย่างไม่ขาดเขิน ฉันเช้ามื้อเดียว หลวงพ่อ
บอกว่าทำตามพระพุทธเจ้า พระไม่ต้องทำงานอะไร(งานทางโลก)ฉันมื้อเดียวก็เพียงพอเราไม่ได้บวชมาเพื่ออยู่กิน
การฉันหลายมื้อก็ยุ่งยากแก่ผู้ที่นำอาหารมาถวาย เป็นการเพิ่มภาระให้ญาติโยม(หลวงพ่อหมายถึงพระที่อยู่ป่า)
ฉันมื้อเดียวในบาตร ใช้มือครับจะใช้ช้อนตักก็ได้ไม่ผิดพระวินัยแต่หลวงพ่อท่านไม่แนะนำให้ใช้ช้อนตักในบาตร
ท่านว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากัน ถ้าเป็นแกง ขนมหวาน ก็ตักแบ่งแยกถ้วยออกมาได้ รับอาหารที่ตามส่งทีหลังได้
การขบฉันให้ดูเหมาะสมปฏิบัติง่ายทั้งพระและโยม ไม่เคร่งมาก ฉันเสร็จก็นำบาตรมาล้าง เช็ดให้แห้งและตาก
แดดประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อดับกลิ่น แล้วก็เก็บบาตรใส่สลกบาตร สะพายกลับกุฏิของตัวเอง
ก่อนฉัน(เช้า) หลวงพ่อจะเทศน์สอนพระ และเทศน์แสดงธรรมแก่พระและญาติโยมทุกวัน เทศน์มากน้อยสั้นๆ
หรือนานขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ละวัน เช่นวันหยุดราชการญาติโยมเยอะมีญาติโยมทางไกลมาจังหันทำบุญ
หลวงพ่อไม่มีธุระกิจนิมนต์ ก็จะเทศน์พูดคุยกับญาติโยมนานมากหน่อย
ข้อวัตรอีกข้อที่ต้องทำคือการซักย้อมไตรจีวร ในวันก่อนวันอุโบสถ
ไตรจีวรที่นุ่งห่มมาครึ่งเดือน ก็จะมาซักย้อมด้วยน้ำต้มแก่นขนุน และเติมสีย้อมผ้าสีกรักลงไปเล็กน้อย ให้สีของ
จีวรเป็นสีเหลืองกรัก ไตรจีวร หลวงพ่อท่านพูดย้ำเสมอว่า คือธงชัยของพระอรหันต์ เป็นธงชัยของพระพุทธเจ้า
ต้องทำจับถือครองนุ่งห่มอย่างเคารพ การทำข้อวัตร เสนาสนะวัตร ปัดกวาดเช็ดถู กุฏิ ศาลา ห้องน้ำ ทำช่วง
บ่ายของทุกวัน ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง กุฏิพระจะมีเสื่อกกหนึ่งผืน หมอนขิด ผ้าห่มขนหนูสีเหลือง
และสบงจีวร บริขารที่จำเป็นของพระเท่านั้น หน้าต่างกุฏิจะติดมุ้งลวดช่วยกันยุงแมลงต่างๆ ที่มีอยู่ในป่า กุฏิไม่มี
ไฟฟ้ากระติกน้ำร้อน ไม่มีชา กาแฟ ไม่ให้สะสมสิ่งของใดๆ หลังทำเสนาสนะวัตร ข้อวัตรเสร็จก็จะมาฉันน้ำปานะ
ที่วัดนี้ น้ำปานะจะเป็นนม โอวันติน กาแฟใส่ครีม เหล่านี้ไม่ได้ หลวงพ่อท่านว่าเหล่านี้เป็นอาหาร ฉันในเวลา
หลังเที่ยงไม่ได้ จะฉันได้เฉพาะที่ไม่ได้อยู่ในอาหารหมวดห้าหมู่เท่านั้น แต่จะฉัน เช่น เมล็ดทานตะวัน สมอหรือ
หมากส้มมอ ใบส้มลมจิ้มเกลือได้ เหล่านี้อนุโลมถือว่าเป็นโอสถเป็นยา (ปฏิบัติตามพระวินัย-ผมจำมาเล่าต่อนะครับ)
การอุปัฏฐาก ปฏิบัติต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ คือสิ่งที่พระวัดป่าถือปฏิบัติกันมา ผมว่าคงไม่ใช่กฏระเบียบแต่เป็นสิ่งที่
ลูกศิษย์อยากกระทำต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ผมเองทำด้วยความเคารพนับถือ ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์และเชื่อว่าพระ
หรือครูบารูปอื่นๆ ก็คงจะคิดเช่นนั้นนะ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพระดีพระวัดป่า เกจิวัดป่า จะดุมากคือเวลาทำทำจริง
ขึงขังหนักแน่น ไม่มีมาจ๊ะจ๋า พวกพระเองก็ทราบดีว่าการดุด่านั่นคือเจตนารมย์ความหวังดีคือการบอกสอนอยาก
ให้เราได้ดี เป็นคนดี และอย่างที่บอกครับ เกจิอาจารย์วัดป่าสายหลวงปู่มั่นผมว่าเกือบจะทุกรูปดุแต่ดีเหมือนกัน
ไม่มีลูกอย่างนั้นลูกอย่างนี้ ไม่มีจ๊ะจ๋า ด่าให้อายกันไปข้างหนึ่ง บางครั้งต่อหน้าญาติโยมเยอะๆ แต่ถึงจะด่าว่า
หลวงพ่อท่านก็จะไม่ใช้คำหยาบคายหรือคำพูดเชิงดูถูกครับ มีแต่บอกสอนให้รู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้
จะมีดอกเตอร์ เศรษฐี สักกี่คนไหมที่จะมีคนมาปรนนิบัติเช่นนี้ โดยไม่หวังรางวัลสิ่งตอบแทน พระเองก็ไม่มี
ที่พระลูกศิษย์ทำไปก็เพื่อหวังจะได้รับได้พึ่งบุญบารมี หวังความสุขที่ได้จากการได้อุปัฏฐาก ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่
ครูอาจารย์ ไม่ได้หวังเงินทอง ไม่ได้ต้องการคำชม ขอแค่ได้มีโอกาสอุปัฏฐากดูแลท่านบ้างสักครั้งในชีวิต
หลวงพ่อรักและเคารพศรัทธา หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และเกจิสายหลวงปู่มั่นศิษย์หลวงปู่มั่น
ทุกรูป ปฏิบัติตามพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อรักและเคารพศรัทธา ในหลวงมากๆ รวมถึงราชวงศ์ทุกพระองค์
อีกคำพูดหนึ่งที่ผมได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย จะหาว่าเข้าข้างตัวเองเกินไป คือ หลวงพ่อ(เทศน์)
บอกว่าภาษาอีสานเป็นภาษาที่ไพเราะที่สุด หลวงพ่อพูดตอนที่เทศน์ ไปถึงเรื่องคนไทยคนอีสานไม่สนใจเรียน
ภาษาวัฒนธรรมที่ดีงามของตัวเองซึ่งมีอยู่ กลับไปสนใจเรียนภาษาคนอื่นเมืองอื่น มีความหมายว่าการเรียนภาษา
คนอื่นเมืองอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ต้องเรียนภาษาของตัวเองให้เข้าใจแตกฉานด้วย ทำนองนี้
ผมอ่านผญาของอาจารย์ศรีสะท้าน ของพี่ๆ จำปา หญ้านาง บ่าวก๋าคาม บ่าวโจโล ทองแดง ทิดจ่อย ฯลฯ
อ๋อที่หลวงพ่อว่าภาษาอีสานไพเราะที่สุด ใช่แล้ว ไพเราะอย่างนี้นี่เอง
หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม เป็นอีกคนหนึ่งที่รักประเทศไทย รักเมืองอีสาน รักภาษาอีสาน รักและมีเมตตา
เป็นห่วงพี่น้องชาวอีสานครับ ถ้าท่านพี่น้องได้รู้จักหลวงพ่อในระดับหนึ่ง ได้ฟังเทศน์คำพูดคำสอนของหลวงพ่อ
ท่านจะเชื่ออย่างที่ผมเล่า แต่ถ้าเห็นเพียงผิวเผินเห็นแต่ภาพลักษณ์ภายนอกท่านอาจจะไม่เชื่อในทันทีหรืออาจจะ
ไม่เชื่อเลยก็ได้ หากมีโอกาสผมขอเชิญชวนพี่น้องบ้านมหาให้ได้รู้จักกับหลวงพ่อได้รู้จักพระดีไว้อีกรูป
ผมยืนยันว่าท่านพี่น้องจะได้รับในสิ่งที่ดีครับ
ทางเดินจงกรมมีประจำทุกกุฏิ ดูสะอาดตาหลังถูกปัดกวาด แต่ปกติก็จะมีใบไม้ที่ร่วงลงมาบ้าง จะมีมากหน่อยก็ฤดู
แล้งที่ใบไม้ร่วง ขี้หมา ขี้ไก่ ขี้นก จะไม่มีครับ ไม่มีมลภาวะทางกลิ่น ไม่มีมลภาวะทางตา ไม่มีคนเดินขวักไขว่
แต่จะมีบ้างทางหู เสียงรถอีแต๋นนานๆ ครั้ง
ทางเดินไปกุฏิต่างๆ บางช่วงก็เทคอนกรีต เพื่อให้พระเดินได้สะดวกในยามหน้าฝนและตอนกลางคืนเมื่อมีกิจธุระ
เนื่องจากมีญาติโยมมาวัดมากขึ้น ศาลาหลังเดิมไม่สามารถรับรองพระโยมได้เพียงพอ จำเป็นต้องสร้างใหม่ให้
พอเหมาะ ศาลาหลังใหม่ เป็นศาลาไม้ ไม้ส่วนใหญ่ชาวบ้านญาติโยมถวาย เริ่มสร้างปลายปี 2551 และทำพิธี
ฉลองศาลาในเดือน พฤษภาคม ปี 2552
วันที่หลวงพ่อ ฉลองศาลา วันนั้นเป็นวันรวมพระป่าของอีสานอีกวันหนึ่ง
หลวงพ่อคูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง บ.ภูดิน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี แสดงพระธรรมเทศนาตอนกลางคืน
ภาพล่าง หลวงพ่อณรงค์ อาจาโร วัดป่ากกสะทอน ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สนทนาธรรมกับญาติโยม
ที่วัดนี้ (วัดป่า) จะไม่มีเหรียญ วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เท่าที่ผมได้ยินและจำได้ไม่เคยทำพิธีปลุกเสกใดๆ
มีแจกบ้างแต่เป็นเหรียญที่หลวงพ่อได้มาอีกที
พระเณรวัดป่าสายธรรมยุตนิกาย ทั่วอีสาน กว่าสองร้อยรูป ที่รับนิมนต์มาร่วมงานฉลองศาลา ครูบาเณรรูปน้อย
น่ารักๆ คงบวชช่วงปิดเทอม
ญาติโยมร่วมฟังพระธรรมเทศนาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ในตอนกลางคืน
และตอนเช้าร่วมทำบุญ นำอาหารคาวหวานมาถวาย มีโรงทาน ให้ความสุขใจ อิ่มเอิบใจกับผู้ที่ได้ร่วมทำบุญ
ทุกๆ ครั้งที่ผมกลับบ้าน ก็จะหาโอกาสไปทำบุญจังหัน กราบหลวงพ่อ ไปฟังพระธรรมคำสอนจากหลวงพ่อให้ได้
การได้มาทำบุญ (มาจังหัน) และได้มากินข้าววัด (กินข้าวเช้าที่วัด) ร่วมกับญาติพี่น้องที่มาทำบุญจังหันด้วยกัน
เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมีความสุขมาก ข้าวเหนียวข้าวเจ้ากับอาหารพื้นบ้านอีสานนานาและตามฤดูกาล สำหรับผมแล้ว
อร่อยเท่ากับได้ไปนั่งกินในร้านอาหารดีๆ ร้านหนึ่งทีเดียว
ปัจจุบันถนนเส้นที่ผ่านหน้าทางเข้าวัด เป็นถนนลาดยางแล้ว
ในช่วงเข้าพรรษา จะมีญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา มารักษาศีลในวันศีลสิบคน ยี่สิบคน และจะมีคนมาประจำ
อยู่ที่วัดช่วงเข้าพรรษาบ้างเล็กน้อย หลวงพ่อจะพานั่งสมาธิภาวนา และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดเก้าสิบวัน
ที่ผมจำพรรษา หลวงพ่อจะพานั่งภาวนาแสดงพระธรรมเทศนา ในเวลาสองทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่ง ผมนับได้ถึงสี่สิบวัน
นอกนั้นเป็นวันที่หลวงพ่อมีกิจนิมนต์ หรือมีกิจธุระ ก็ให้พระเณร อุบาสก อุบาสิกาทำกันเอง หลวงพ่อสวัสดิ์
เป็นผู้ที่แตกฉานในพระธรรมวินัย จากการได้ปฏิบัติจริง ไม่ใช่อ่านหรือท่องหนังสือมาเล่า ท่านจะพยายาม
อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อยู่ทุกวัน บางวันก็เทศน์สอนทั้งเช้าเย็น สำหรับผมแล้ว ผมว่าคำสอนของท่าน ดี สั้น
กระชับ เข้าใจได้ง่าย มีที่มาที่ไป หลวงพ่อสวัสดิ์ ท่านจะเคร่งในพระวินัยมาก เช่นจะคุยกับอุบาสิกา
เมื่อมีพระหรืออุบาสก โยมผู้ชายอยู่ด้วยเท่านั้น ท่านจะไม่ให้พระจุดไฟไม่ให้พระเผาขยะ ไม่ให้พระขุดดิน
ไม่ให้เด็ดใบไม้ ฯลฯ แต่ก็เหยียบหญ้าได้นะครับ คือพยายามทำตามพระวินัยสงฆ์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
ที่เล่ามา ผมเห็นว่านั่นคือสิ่งที่ดี ที่งดงาม ที่ยังมีในสังคมไทย โดยเฉพาะที่เมืองอีสาน ผมจึงนำมาเล่าให้พี่น้องฟัง
เผื่อมีใครสนใจอยากไปหรือมองหาที่ที่จะปฏิบัติภาวนา และท่านที่ชอบที่ดีที่สงบมีคนน้อย ผมแนะนำที่นี่ครับ
ที่ดีๆ ในการปฏิบัติภาวนามีเยอะหลายที่หลายวัด แต่ที่ดีคนก็จะเยอะ ถ้าที่ดีแล้วคนน้อยมีน้อยที่ นี้เป็นอีกที่หนึ่ง
คนน้อยท่านจะได้มีโอกาส ปรึกษาปัญหาธรรมะกับครูอาจารย์ได้สะดวก ไม่ต้องเดินจงกรมตามหลังเหยียบส้นกัน
เดินทางใครทางคนนั้นกลางป่าช้าข้างกองฟอนไปเลย หรือใครอยากให้ลูกหลานได้บวชในที่ดีๆ มีครูอาจารย์ดีๆ
ถ้าไม่ติดปัญหาว่าไกลบ้านผมก็แนะนำที่วัดป่านี้ครับ หากโชคดีหรือมีบุญบารมีแล้วลูกหลานของท่านพี่น้องอาจจะ
ได้บวชเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เป็นลูกศิษย์พระตถาคตไปตลอดชีวิต ส่วนผมก็มีบุญเท่านั้นแหละครับ
ที่วัดนี้ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีซองผ้าป่า ไม่มีตู้บริจาค ไม่มีเครื่องรางของขลังหรือเหรียญวัตถุมงคลใดๆ มีเฉพาะกฐิน
สามัคคีหลังออกพรรษาของทุกปี
ท้ายนี้ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้แอบอ้างโฆษณาวัด โฆษณาพระ ก็เช่นกระทู้ทั่วๆ ไป เราไปเที่ยวเห็นภูเขา
ทะเลท้องนาที่สวยงามเราก็นำมาเล่าสู่กันฟัง แต่กระทู้นี้กล่าวถึงวัดกล่าวถึงพระซึ่งเป็นบุคคลที่สาม ด้วยเจตนารมย์
ของผมเช่นทุกกระทู้ที่เคยโพสท์ครับ ผมพยายามนำเสนอสิ่งที่ผมเห็นว่าสวยงาม มีประโยชน์และเป็นเรื่องจริงที่ผม
ได้เห็นได้สัมผัสมาจริงๆ อยากนำมาเผยแพร่ให้โลกได้รู้ และก็เข้าใจดีว่าทุกเรื่องราวมีดีและไม่ดีอยู่พอๆ กัน
ผมก็หวังแต่อยากให้พี่น้องบ้านมหาและผู้ที่เข้ามาอ่านได้มองเห็นแต่ภาพที่สวยงามและทำให้ท่านมีความสุขนะครับ
ส่วนภาพไหน ตรงไหน ข้อความใดที่ท่านอ่านแล้วท่านไม่เห็นด้วยไม่พอใจ ผมผู้เขียนเล่าเรื่องก็ขอโทษขออภัย
ไว้นะที่นี้ จริงๆ อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ก็แนะนำติติงเข้ามาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขต่อไป ผมในฐานะเจ้าของกระทู้ผู้
เล่าเรื่องยินดีรับไปปฏิบัติทุกคำแนะนำครับ
และก็ขอขอบคุณภาพบรรยากาศจากวัดป่าคูขาด
ขอนมัสการด้วยความเคารพ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อสวัสดิ์ ปิยธัมโม
และพระอาจารย์ครูบาทุกท่านที่ผมนำภาพมานำเสนอ
ขอบคุณพี่น้องบ้านมหาและทุกท่านที่เสียสละเวลาเข้ามาชม อาจจะยาวไปบ้างต้องขออภัย
ขอขอบคุณบ้านมหาดอทคอมด้วยความจริงใจที่เอื้อเฟื้อพื้นที่ครับ
Bookmarks