-
ศึกษาหาความรู้
-
ศึกษาหาความรู้
“มัจจุราชเงียบในอาหาร”
ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร”
ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร”
ทราบกันดีว่าถ้าไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตม์ใช่ไหมครับ
แต่อาจต้องมองลึกไปสักนิดว่าถ้ามันยังไม่ถึงที่ตาย
แต่ก็ไม่วายชีวาวาตม์เสียทีเดียวนี้มันก็ทรมานไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นต้องพยายามอย่าใช้ช้อมส้อมขุดหลุม..พให้ตัวเองครับ
ถ้าจะกินหรือจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดต้อง “Use with good judgment”
เหมือนสโลแกนของท่านโอบาม่า
อย่าไปเลือกชนิดที่เก่าแก่หรือเก่าเก็บมากจนเกินไป
ด้วยว่าอาจมีสารพิษเกิดขึ้นในตัวของมันเองได้
เช่น สารพิษโบทูลินุ่มในอาหารกระป๋องปนเปื้อน ที่ไม่นุ่มนิ่มจิ๋มจุ๋มอย่างที่คิด
แค่สะกิดชิมเพียงนิดก็อาจพากันนอนชักเกร็งเป็นอัมพาตไปได้
อย่าไปคิดว่ายิ่งแก่ยิ่งเจ๋ง Old but not expired
แบบคุณแม็คเคนไปทุกสิ่งสรรค์ครับ มันอาจเป็นยิ่งแก่ยิ่งแสบ ยิ่งบ่นเก่งก็เป็นได้
เลยขอนำดาวเด่นของสารผสมอาหารสิบสองชนิดที่พบบ่อย
ที่มีผลพลอยได้คือถ้ากินสะสมเข้าไปมากแล้ว
ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่าจะใช้แลกคูปองของรางวัล
ไปทัวร์ยมโลกได้เร็วกว่าใครทีเดียวครับ
เริ่มจาก 1) โซเดียมไนเตรท (โซเดียมไนไตรท์)
หรือมืชื่อจุ๋มจิ๋มที่รู้จักกันว่า “ดินประสิว”
พอได้ยินชื่อเพื่อนรักคนนี้แล้ว ต้องเห็นสีแดงตามมาเลยนะครับ
ด้วยว่าอยู่ในกุนเชียงรสอร่อยมันเยิ้ม, ไส้กรอกรถเข็นสีแดงจัดจ้านราดน้ำจิ้มรสเด็ด,
แหนมตุ้มขนาดพอคำ, ปลารมควันของฝากจากเมืองไกล
หรือจะไส้กรอกฮ็อทด็อกสัญชาติอเมริกันสุดหรู จากร้านสะดวกซื้อ
ที่เอามายืนถืองับกันจนน้ำราดแดงเหลืองไหลเยิ้มง่ามมือ
เมนูอาหารสร้างสรรค์สังคมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดินประสิว
ช่วยเสริมให้เนื้อแดงจัดชวนกินทั้งนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ตัวเราไม่ใช่พลุหรือปุ๋ยมูลค้างคาว
เราจึงไม่ต้องการดินประสิวมากขนาดนั้น
เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะร้องค้านว่าเป็นส่วนเกินแล้ว
ก็กระทำอารยะขัดขืนไม่ ยอมรับพร้อมกับสร้างกระแสมะเร็งขึ้นมาทันที
โดยพบว่าเด็กที่กินไส้กรอกฮ็อทด็อกแบบนี้เพียงปีละโหลกว่าเท่านั้น
จะมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินถึงสองเท่าเลยทีเดียว
ในผู้ใหญ่ก็ไม่แพ้กันครับจะได้มะเร็งแถมมาด้วยพอกัน
2) บีเอชเอ และบีเอชที
(Butylated hydroxyanisole, butylated hydrozyttoluene)
ฟังดูชื่อแล้วยังกับต้องทายปรัศนีบุคคลในคอลัมน์ซ้อเจ็ด
หรือราวกับ อ่านภาษาต่างดาวอยู่ แต่แท้จริงแล้วชื่อจริงของมันยาว
จึงขอเรียกเป็นชื่อย่อให้ไม่ระคายหูกันครับ
สารร้ายนี้มีมากในอาหารเช้าแบบฝรั่งจำพวกซีรีล, ธัญพืชสำเร็จรูป, หมากฝรั่ง,
มันฝรั่งและน้ำมันพืชครับ สารนี้เป็นสนิมอนุมูลอิสระโดยตรงเลยครับ
ด้วยว่าตัวมันไม่เสถียร สามารถแตกตัวไปกลายเป็นเสือหิวอิเล็กตรอน
ไปกัดกินอณูร่างกายคุณให้กลายเป็นมะเร็งได้ครับ
3) โพรพิล แกลเลท
ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก แต่ก็ร้ายเงียบไม่แพ้กัน
โดยมักใส่มากับสหายสนิทคู่คิดเจ้าเก่าสองนายคือ
“บีเอชเอ” และ “บีเอชที” โดยเป็นศัตรูร้ายของผู้ที่พิสมัยในการบริโภคเนื้อแดง
เช่น เนื้อวัว, เนื้อหมูหรือแม้แต่เนื้อก็มีในซุปไก่ และในหมากฝรั่งเป็นต้น
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า
สารนี้มีพรสวรรค์ในการรังสรรค์มะเร็งได้ไม่แพ้กันครับ
4) โมโนโซเดียมกลูตาแมท (เอ็มเอสจี)
หรือที่รู้จักกันในชื่อสุดคลาสสิกว่า “ผงชูรส”
เมื่อพูดถึงผงชูรส ก็ชวนให้คิดไปถึงเมื่อกาลก่อน
ที่รถเข็นขายบะหมี่ป๊อกๆตามบ้านที่จอดลวกเส้น ทำก๋วยเตี๋ยวตามสั่งให้
แล้วเมื่อใส่เครื่องเคราเสร็จแล้วก็จะหยิบช้อนปลายเล็ก
ขนาดเท่าไม้แคะขี้หูมากระดกเทเกล็ดขาวเล็กๆ ใส่ลงไปด้วยนิดหนึ่ง
เรียกว่านับเกล็ดได้ทีเดียว ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่นเองคือผงชูรส
และที่ใส่ให้น้อยกว่าไม่พรั่งพรูเหมือน กากหมูเจียวก็เพราะว่ามันแพงมากในสมัยนั้น
ด้วยเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งคิดค้นได้ว่าโลกนี้ยังมีรสที่ลิ้นรับสัมผัสได้
ว่าอร่อยนอกจากเปรี้ยว, หวาน, เค็ม, ขม
(แต่เผ็ดนั้นไม่ใช่รส เป็นความแสบร้อนจากกรดแคปไซสิกแทน)
แล้วก็ยังมี “รสอุมามิ (Umami)” ซึ่งแปลว่า “โอชารส” หรือรสอร่อยนั่นเอง
แต่ข้อเสียของผงชูรสคือในภัตตาคารที่ทำอาหารขายคนหมู่มากนั้น
มักไม่มีเวลาที่จะมานั่งทำน้ำสต๊อกให้ได้ปริมาณมากเป็นถุงเป็นถัง
จึงต้องใช้วิธี ลักไก่โยนผงซุปชูรสนี้ลงไป
ซึ่งถ้าเหยื่อ เอ๊ย...ลูกค้ารับประทานไม่มากและไม่บ่อยนักก็ไม่เป็นไร
แต่บางท่านต้องผูกปิ่นโตไว้กับร้านเดิมตลอดก็อาจเกิดอาการพิษจากผงชูรสได้
โดยอาการนั้นจะเป็นอาการของพิษต่อระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่ครับ
ตั้งแต่ปวดศีรษะไม่ทราบเหตุ, ลิ้นชาปร่าแปลกๆ ไป
จนถึงขั้นที่ทำให้อาเจียนเวียนศีรษะและตาบอดได้เลยทีเดียว
ซึ่งที่จริงแล้วนั้นเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผงวิเศษนี้
เพื่อทำให้อาหารของเรา ประดุจออกมาจากห้องเครื่องแดจังกึม
เพราะว่าแท้จริงแล้วรสอุมามินี้คือ รสของกรดอะมิโน
ซึ่งก็มีอยู่ตามธรรมชาติในเนื้อสัตว์ทั่วไป,
น้ำซุปเนื้อ, เนื้อปลา หรือแม้แต่ผักคะน้า
ดังนั้น จะเห็นว่าภูมิปัญญาเราที่เอาคะน้ามาผัดกับปลานั้น
ก็ถือว่า เป็นความอร่อยแบบอุมามิได้โดยไม่ต้องใส่ผงชูรสเลย
หรือถ้าท่านรู้จักเลือกชนิดของอาหารและนำน้ำเนื้อมาปรุงรวมกับผัก
ก็จะให้รส อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผงชูรสสุดหวงของอาแปะบะหมี่เกี๊ยว
หรือเพื่อทำให้อาหารของคุณรสเลิศ
ประดุจเป็นฝีมือของจอมนางซางกุงแห่งวังหลวงเลย
ไส้กรอกแดงสวยราดน้ำจิ้มรสเด็ดหน้าโรงเรียนหรือเนื้อแดดเดียว,
แฮมและเนื้อรมควันทั้งหลายเป็นแหล่งสำคัญของดินประสิว
ที่แม้กินเพียงไส้กรอก เดือนละแท่ง
ก็ช่วยเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งให้แซงหน้าเพื่อนพ้องได้แล้ว
5) ทรานส์แฟ็ท หรือไขมันล่องหน
ผู้ร้ายรายนี้เป็นไขมันชนิดหนึ่งครับตัวไม่ใหญ่โตอะไรมาก
มักอยู่ใน คุกกี้, บิสกิต, ขนมเค้ก, ฟาสต์ฟู้ด, เบเกอรี่, ปาท่องโก๋ทั้งหลาย
แต่ขยันก่อเรื่องนานัปการ โดยสถานที่เกะกะเกเรที่สำคัญอยู่ที่ทำเนียบฯ
เอ๊ย...ทันโทษ อยู่ที่หลอดเลือดหัวใจครับ
มันโปรดปรานการอุดหลอดเลือดหัวใจที่ชื่อ โคโรนารีมาก
วันร้ายคืนร้ายมันก็ไปจับตัวรวมหัวกับสนิมอนุมูลอิสระ
เกิดเป็นตะกรันชวนครั่นคร้ามให้หัวใจสูบเลือดไม่ออกเสียอย่างนั้น
แล้วทีนี้จะไปหา กทม. มาลอกท่อที่ไหนก็ไม่ได้ด้วยว่า
หลอดเลือดหัวใจนี้เล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่ถึงปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเองครับ
สำหรับผู้ที่ติดการบริโภคเบเกอรี่นานาพันธุ์แบบหยุดไม่ได้นี้
สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเพียงนั่งหน้าป๋อหลอรอเปลี่ยนบายพาสหลอดเลือดเท่านั้นเองครับ
รูปที่ 6ถ้าไม่อยากใช้ผงชูรสก็ยังมีวัตถุดิบธรรมชาติอื่น
ที่ให้รส “อุมามิ” เหมือนกัน ได้แก่ เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ปลา และกุ้ง
ดังนั้นการจับคู่อาหารอย่างชาญฉลาดของแม่ครัวพ่อครัว
จะทำให้อาหารมีรสอร่อยลิ้นขึ้นมาก ได้แก่ ผัดผักคะน้ากับปลาเค็ม
ผัดผักกระเฉดใส่หมูกรอบ ผัดผักกาดขาวใส่เห็ดหอม
หรือพิซซ่าซึ่งมีมะเขือเทศกับชีส เป็นต้น
6)แอสปาแตม
รู้กันดีอีกชื่อคือน้ำตาลเทียม มีหลายชนิดหลากยี่ห้อ
แต่ที่ดั้งเดิมเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อนี้ก็คือแอสปาแตมนี่เอง
แต่ก่อนแต่ไรนั้นมีการใช้ขัณฑสกรให้ความหวาน
โดยชื่อของมันก็แปลว่า ผู้ทำให้หวานอยู่แล้ว
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษว่า ซัคคาริน ก็ยิ่งฟังดูหวานเข้าไปอีก
ต่อมารู้ว่ามีพิษก็เลยผลิตแอสปาแตมขึ้นมาให้ความหวานแทน
แต่กระนั้นก็ดีไม่นานก็มีผู้พบว่า
แอสปาแตมนี้ถ้าโดนความร้อนก็อาจกลายเป็น “หวานมรณะ”
ก่อม็อบให้ร่างกายรำคาญใจให้เป็นมะเร็งไปเสียรู้แล้วรู้รอดเลย
และเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีน้ำตาลเทียมให้เลือกหลายชนิดขึ้น
โดยอ้างว่า ปลอดภัยใสซื่อมาก
ซึ่งก็จริงอยู่ครับแค่ระวังอย่าไปใช้ชงกาแฟ
หรือเหยาะบนก๋วยเตี๋ยวร้อนควันโฉ่เข้าก็แล้วกันเดี๋ยวมะเร็งถามหาครับ
รูปที่ 8 “น้ำตาลเทียม” ถ้าใช้ให้ปลอดภัย
ขอให้ระวังอย่าใส่ในของร้อน เช่น กาแฟ, ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารร้อนอื่น
9 โอเลสตร้า
โอเลสตร้าเป็นไขมันสังเคราะห์ที่พบมากในมันฝรั่งแผ่นทอดกรุบกรอบ
และ ขนมทอดใส่ถุงชวนหยิบเคี้ยวเล่นแก้เหงาปากทั้งหลาย
โดยโอเลสตร้านั้นถ้าเผลอหยิบกระแทกปากมากไปก็จะเกิดอาการท้องเดิน,
ปวดมวนท้องแบบบีบๆ และท้องอืดหลามไปด้วยแกสได้
นอกจากนั้นโอเลสตร้ายังก่อกรรมให้วิตามินเอ
ที่คุณอุตส่าห์กินจากผลไม้เข้าไปนั้นไม่สามารถดูดซึมได้ดีด้วย9)
รูปที่ 9 ขนม “มาซิแพน (Marzipan)” ของฝรั่ง
ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์บดเคลือบน้ำตาล เป็นต้นกำเนิดของ “ลูกชุบ” บ้านเรา
ที่ต้องระวังเรื่องของสีสันอันสดใสจากสารสังเคราะห์ให้ดี
10) โพแทสเซียม โบรเมต
ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเมื่อต้องการเพิ่มปริมาตรของขนมปัง,
เค้ก, แยมโรลและขนมแป้งทั้งหลาย
มันเป็นสารที่รู้กันดีในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า
ทำให้เกิดมะเร็งได้ไม่ยากเย็นนักในสัตว์ทดลอง
ส่วนในคนนั้นแม้มีปริมาณเพียงน้อยในขนมปังขาวสักแผ่น
ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้แล้วครับ
11) น้ำตาลขัดขาว
ท่านที่อ่านงานของผมมาตลอดอย่างน้อยต้องจำคาถาพาอายุยืนข้อหนึ่ง
ที่ผมขอให้ท่องกันให้ได้ขึ้นใจครับ นั่นคือเลี่ยง “แป้งกับน้ำตาลขัดขาว”
ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในเบเกอรี่ทั้งหลาย, ธัญพืชสำเร็จรูป, คุกกี้, แคร็กเกอร์,
ซอสปรุงรสและอาหารที่ผ่านกระบวนการทำให้น่ากินตามห้าง
ด้วยว่าแป้งและน้ำตาลขัดขาวนี้ถ้าได้มากเกินไป
ร่างกายก็ต้องทำงานหนักในการช่วยลดมันลงให้ไม่ไปจับตามอวัยวะต่างๆ
เมื่อทำงานหนักมากเข้าร่างกายก็อาจสไตร๊ค์และปล่อยให้คุณแก่เลยตามเลยไปก็ได้
รูปที่ 10 มันฝรั่งทอดกรุบกรอบรสยอดนิยมที่ไว้กินเล่นยามเหงาปากหรือเชียร์บอลนั้น
ถ้ารับประทานมากไปจะได้สาร “โอเลสตร้า”
ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเดินปวดท้อง และขาดวิตามินเอได้ครับ
รูปที่ 11 ถ้าไม่อยากแก่เร็วให้เลี่ยง “แป้งและน้ำตาลขัดขาว”
ซึ่งเจืออยู่ในอาหารเกือบทุกอย่างในยุคนี้
และเมื่อกินเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายยิ่งหลั่งฮอร์โมนแก่ออกมามากขึ้น
12) โซเดียมคลอไรด์ หรือชื่อที่ซับซ้อนกว่าคือ “เกลือแกง”
เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ภัยเงียบ” เลยทีเดียวครับ
สำหรับเกลือแกงนี้ ด้วยว่าปัจจุบันแทรกซึมเป็นยาดำอยู่
จนแม้กระทั่งอาหารเด็กอ่อนด้วยว่า เมื่อสำรวจแล้วพบว่าเด็กก่อนวัยเรียนนี้
ได้รับเกลือแกงสูงกว่าที่ควรจะได้หลายเท่าทีเดียว
ซึ่งเป็นปริมาณที่เกินกว่าไตอ่อนๆของเด็กจะขัดล้างออกไปได้หมด
และเมื่อเกลือมีค้างอยู่ในกายมากก็จะทำให้ความดันสูงขึ้น เกิดไตวายและตายไวได้
ดังจะเห็นได้ว่า เด็กเดี๋ยวนี้หลายคนต้องไปนั่งไขว่ห้าง
ล้างไตแข่งกับผู้ใหญ่ ก็มีให้เห็นหนาตาแล้วเหมือนกัน
ส่วนในผู้ใหญ่นั้นก็หายห่วงได้เลยว่า เกลือแกงที่สูงจะไปช่วยดองเค็มหัวใจ
ให้ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อคุมความดันที่พากันสูงขึ้น
อย่างไม่ปรานีปราศรัยจากฤทธีของโซเดียมตัวร้าย
ถ้ายังนอนใจไม่แก้ไขลดเกลือก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่า
หัวใจไร้รักเปลี่ยนเป็นเต้นกระตุกผิดจังหวะฮิปฮอปแล้วก็ขี้เกียจเต้นไปเองในที่สุดครับ
รูปที่ 12 ขอให้เปลี่ยนจากแป้งและน้ำตาลขัดขาวเป็นแป้งที่มีกาก
(Complex carbohydrate, High GI) แทน
เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดขึ้นอย่างพรวดพราด
จนร่างกายตั้งรับไม่ทันแล้วทำให้เกิดสนิมแก่ขึ้นมากมาย
สรุปส่งท้ายไว้อย่าให้ “กลัวจนอดตาย”
เท่าที่อ่านๆ ดูก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงสรุปได้เช่นเดียวกันว่า
การจะรู้ว่าอาหารใดใส่สารปรุงแต่งอันใดบ้างนั้นค่อนข้างยาก
ราวกับประกวดเอเอฟให้ได้ถูกใจครูเป็ด
แต่ก็พอจะบอกได้ว่าอาหารที่ควรจะเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้สารพิษแถม
คือ อาหารสอดไส้สองล้าน
เอ๊ย...ทันโทษ อาหารจำพวกของทอดกรอบเกรียมเปี่ยมน้ำมัน,
อาหารแปรรูปรมควันทั้งหลายได้แก่ ไส้กรอก, กุนเชียง, หมูแฮม,
หมูแผ่น, เนื้อรมควัน, ปลาเค็มทั้งหลายครับ
และอาหารที่มีสีสันสดใสไร้ขีดจำกัดจนแทบจะเรืองแสงฉับเมื่อดับไฟ
รวมถึงอาหารตามเหลาดังคนนั่งเต็มล้นเพราะมีโอกาสสูง
ที่จะใช้ผงชูรสแทนความหวานจากการนั่งเคี่ยวกระดูกคาตั๊งหรือโครงไก่
ให้โอชะจากกระดูกออกมาเจือจน
น้ำซุปหวานกลมกล่อมตามธรรมชาติ
เพราะไม่มีเวลาและไม่มีคนพอที่จะมานั่งทำงานให้เกินเวลาอย่างนั้น
ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่า การจะอยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีสุขภาพดีนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การมีเงินทองกองมากพากันลากซื้อของดี
มากินบำรุงมุ่งแต่สวยหล่อ ด้วยว่าของดีเหล่านั้น
อาจเป็นพิษก็ได้ใครจะรู้ เช่นหูฉลามหรือปลิงทะเลที่มีโลหะหนักแถมอยู่มากมาย
รวมถึงอาหารเสริมต่างๆนาๆราคาเฉียดซื้อรถได้นั้น
ก็อาจทำให้เราได้รับสารอาหารเกินไปแล้วไปสะสมก็ได้
แต่สิ่งสำคัญของการกินให้มีสุขภาพดีคือ “กินด้วยปัญญา” หรือกินอย่างรู้เท่าทัน
ไม่มันส์ไปกับการกินอย่างคะนองปากหรือกิน
เพราะความเสียดายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ที่เหลืออยู่ค่อนหม้อ
ไปจนถึงเนื้อชาบูที่ถูกเคี่ยวกรำจนหดเหี่ยวจับจีบ
ประดุจงานฝีมือทำดอกไม้จากวัสดุธรรมชาติ
คือถ้าท่านได้บริโภคโดยใช้สมองไปพร้อมกับกล้ามเนื้อช่วยเคี้ยวที่ครอบอยู่
รอบกระพุ้งแก้มที่เรียกว่า กินด้วยปัญญาและมีสติก่อนนำอาหารแต่ละคำใส่ปาก
แล้วก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้วครับ ที่เหลือถ้าจะมีสิ่งใดเกิดก็ขอให้อย่าไปโทษตัวเองครับ
รูปที่ 13 ภาพ
“มรณพิธีของท่านเคาท์แห่งออกาซ”
โดยฝีมือจิตรกรเอกลูกรักของชาวสเปนนาม “เอล เกรโค่”
แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้นถ้าแม้นทำดีใฝ่ดีมาตลอดชีวิตแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนก็อาจเมตตาถึงขนาดเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้
เครดิต : เวปธรรมจักร.เน็ต/บ้านมหา.คอม
Tags for this Thread
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks