กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: วิตามินและแร่ธาตุ...

  1. #1
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    วิตามินและแร่ธาตุ...

    ****วิตามินและแร่ธาตุ...


    วิตามินและแร่ธาตุ...


    วิตามินและแร่ธาตุ...


    คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่กำลังเห่อซื้อวิตามินมารับประทาน
    เพราะอยากมีสุขภาพดี


    ส่วนมากจะเข้าใจผิด คิดว่าวิตามินคือ "ยาบำรุง"
    กินเข้าไปแล้วร่างกายจะสดชื่น แข็งแรง อายุยืน
    ฉะนั้น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าวิตามินคืออะไร

    วิตามิน ที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ส่วนใหญ่ได้มาจากอาหารที่กินเข้าไป
    กับส่วนหนึ่ง ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง
    แม้ปัจจุบัน จะมีวิตามินออกมาจำหน่ายในรูปเม็ดหรือแคปซูลและของเหลว
    แต่วิตามินเหล่านี้ก็ต้องสกัดมาจากอาหาร มีวิตามินบางอย่าง
    สร้างจากการสังเคราะห์ทางเคมีได้
    แต่วิตามินที่ดีที่สุดต้องสกัดจากอาหาร

    แต่ถึงแม้วิตามินจะมาจากอาหาร เราก็ใช้วิตามินแทนอาหารไม่ได้
    เพราะฉะนั้น จงอย่าเข้าใจว่า วิตามินคือยาวิเศษ คือยาบำรุง

    วิตามินไม่ใช่ ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic)
    ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ช่วยทำให้การทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย
    ทำงานได้โดยถูกต้อง และช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
    ถ้าขาดวิตามินและแร่ธาตุ ร่างกายจะหยุดทำงาน

    ถ้า คุณรับประทานตาม สูตรอาหารชีวจิต
    ก็ไม่จำเป็นจะต้องกินวิตามินหรือแร่ธาตุเสริม
    แต่เนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่และชีวิตประจำวันของคุณ
    ที่มักจะชอบกินอาหารจำพวกแป้ง พวกน้ำตาล (เช่น เค้ก ไอศกรีม น้ำอัดลม)
    และของหวานเป็นประจำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษ
    หรือคุณมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป คุณอาจต้องการวิตามินและแร่ธาตุเสริมบ้าง


    วิตามินและแร่ธาตุประเภทแอนติออกซิแดนท์
    ที่แนะนำให้รับประทานเสริมบ้าง คือ

    วิตามิน A วันละ 10,000 I.U

    วิตามิน C วันละ 1,000 มิลลิกรัม

    วิตามิน D วันละ 1,000 I.U.

    วิตามิน E วันละ 400 I.U.

    ซีลีเนียม วันละ 50 ไมโครกรัม

    และควรเพิ่มแร่ธาตุกับอาหารเสริมคือ

    Lecithin 1,200 มิลลิกรัม หรือ 19 grain


    Ginkgo 60 มิลลิกรัม

    Zinc (ธาตุสังกะสี) 60 มิลลิกรัม

    Evenning Primวิตามินและแร่ธาตุ... Oil 500 มิลลิกรัม (เฉพาะสตรี)

    B1 50 มิลลิกรัม[
    /COLOR]

    วิตามิน A

    มี ในผัก ผลไม้ เช่น กล้วย มันเทศ มะเขือเทศสีดา
    มะเขือเทศ กระถิน ขี้เหล็ก แครอท ตำลึง ใบทองหลาง
    ใบมันสำปะหลัง ใบมะขาม ใบมะยมอ่อน มะละกอสุก
    ส้มเขียวหวาน นม เนย มาการีน กล้วย สับปะรด ข้าวโพด
    ผักบุ้ง มะม่วงสุก คะน้า ผักกาดหอม ถั่ว เนยแข็ง นมถั่วเหลือง ไข่
    การทำอาหาร ความร้อนจะไปทำลายวิตามินนี้ ควรรับประทานสดๆ

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์บำรุงตา ฟัน กระดูก ผม ผิว
    เนื้อเยื่ออ่อน ช่วยเสริมเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
    และเมื่อเริ่มเป็นหวัดในขนาดสูงจะป้องกันได้
    นอกจากนี้ยังทำให้ผิวนุ่มและเกลี้ยงเกลา
    ต้านทานการติดเชื้อโรคและยังมีรายงานว่าอาจป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ด้วย


    อาการขาดวิตามิน ร่างกายจะแคระไม่โต
    ฟันจะผุง่ายเพราะเคลือบฟันไม่แข็ง ผมจะร่วง
    หนังศีรษะเป็นขุย มีรังแค ผิวจะแห้งเป็นเกล็ด
    จะเป็นสิวที่หลัง ต้นขา รูขุมขนใหญ่เนื้อเยื่ออ่อนไม่แข็งแรง
    และยังทำให้เป็นหวัดง่าย ติดเชื้อทางหู ต่อมทอนซิลอักเสบ
    หลอดลมอักเสบ เกิดอาการตาฟางในตอนกลางคืน
    นัยน์ตาแห้ง แดง อักเสบ อาจตาบวมตาไม่สู้แสง
    อาจทำให้เป็นหมัน เป็นนิ่ว

    วิตามิน B1

    มี ในธัญญพืช พวกข้าว ข้าวซ้อมมือ รำข้าว ถั่วต่างๆ
    งา ผัก ผลไม้ ยีสต์ นม ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ไข่ กะหล่ำปลี
    แครอท ถั่วงอก คะน้า ผักกาดหอม มะเขือ มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ


    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการเจริญเติบโต
    ทำให้หัวใจทำหน้าที่ปกติ การหมุนเวียนโลหิตดี
    ช่วยสร้างเม็ดเลือด ทำให้อยากอาหาร การย่อยดี บำรุงประสาท
    และช่วยการเผาผลาญแป้ง และน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้สมบูรณ์

    อาการขาดวิตามิน ประสาทจะเสื่อม มีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวด
    ความจำเสื่อม ท้องผูก เบื่ออาหาร หัวใจเต้นเร็ว
    ถ้าขาด การเผาผลาญแป้ง น้ำตาล จะไม่สมบูรณ์จะเกิดกรด
    เมื่อสะสมในร่างกายก็จะเกิดโรคเหน็บชา
    และถ้าขาดมาก จะทำให้ร่างการแคระ บวม อ่อนเพลีย
    เบื่ออาหาร เจ็บปวดตามน่อง


    วิตามิน B2

    มี ในถั่วลิสง รำ ถั่วเหลือง มะม่วง แอ๊ปเปิ้ล กล้วย แตง
    คะน้า ผักกาด ถั่ว ผักเขียว ฝรั่ง นม ยีสต์ ลูกเกด
    นอกจากนี้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่สามารถสังเคราะห์ได้
    ความคงทน ในการทำอาหารจะสูญเสียเล็กน้อย

    ประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเซลล์
    ช่วยให้ออกซิเจนแก่พวกแป้ง และกรดอมิโน
    นักโภชนาการบอกว่า ถ้ากินบี 2 กับแคลเซียม
    จะทำให้อายุยืนกว่าปกติ 10%
    และถ้ากินมากจะป้องกันโรคเท้าเนื่องจากเชื้อรา
    โรคผิวหนัง โรคแพ้ ผื่นแดง

    อาการขาดวิตามิน การย่อยอาหารจะไม่ดี การสร้างโลหิตไม่สมบูรณ์
    มีอาการแสบตา มุมปากแตก ตาไม่สู้แสง เท้าแสบ ลิ้นอักเสบ
    และตาจะแดงอยู่เสมอ หู จมูกอักเสบ น้ำตาไหล

    วิตามิน B3

    มีในรำข้าว ถั่วลิสง ยีสต์ ผักสด มันฝรั่ง ใบยอ

    ประโยชน์ต่อร่างกาย กระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตขยายหลอดเลือด
    บำรุงสมอง เยื่ออ่อน ผิวหนัง ช่วยในการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล
    ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและบรรเทา
    อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง บำรุงไต

    อาการขาดวิตามิน ตับจะทำงานผิดปกติ
    ประสาทผิดปกติ ผิวหนังอักเสบ เกิดอาการเบื่ออาหาร
    อ่อนเพลีย ท้องเดินผิวหนังเป็นจ้ำๆ สีม่วง


    วิตามิน B6

    มีในกะหล่ำปลี พวกข้าว รำ ยีสต์ พวกถั่วต่างๆ นม ข้าวโพด

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์บำรุงผิว
    ช่วยร่างกายในการใช้ไขมัน โปรตีน
    และการสร้างเลือด บำรุงประสาทกล้ามเนื้อ
    ลดอาการแพ้ท้อง ช่วยไม่ให้ปลายประสาทอักเสบ


    อาการขาดวิตามิน นอนไม่หลับ ผมร่วง เกิดโรคผิวหนัง และโลหิตจาง

    วิตามิน B12

    ไม่มีในพืช แต่มีในนม เนย ไข่ เนื้อสัตว์

    ประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นตัวสำคัญเกี่ยวกับการสร้างเม็ดโลหิตแดง

    อาการขาดวิตามิน จะเป็นโรคโลหิตจาง โรคประสาท

    วิตามิน B15

    มีในยีสต์ พวกเมล็ดพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ
    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อเส้นผม
    กล้ามเนื้อ ตับ สมอง และหัวใจ ช่วยย่อยไขมัน
    ทำให้ร่างกายใช้วิตามินอี รักษาโรคทางจิต
    แพทย์ใช้วิตามินนี้รวมกันรักษาเบาหวานและเส้นโลหิตอุดตัน



    แพนโธทีเนท

    มีในมันฝรั่ง ยีสต์ นม

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อผิว และต่อมอะดรีนัล
    ช่วยระบบย่อยอาหาร รักษาโรคไขข้ออักเสบ

    กรดโฟลิก

    มีในผัก ผลไม้ ข้าวแดง รำละเอียด นม ถั่ว เห็ด ยีสต์ ข้าวโพด

    ประโยชน์ต่อร่างกาย จำเป็นต่อการสร้างเม็ดโลหิตแดง
    และช่วยให้ตับและต่อมทำหน้าที่ดีขึ้น

    ไบโอติน

    มีในยีสต์ รำละเอียด

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีความสำคัญมากในการกระตุ้น
    การเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
    อาการขาดวิตามิน จะเป็นโรคโลหิตจาง

    วิตามิน C

    มี อยู่ในผักสด ผลไม้สด ส้ม มะเขือเทศ กล้วย ตำลึง
    ดอกแค ใบทองหลาง ใบมะยมอ่อน ใบมะละกออ่อน
    ผักกระเฉด ผักกาดขาว ผักโขม ผักคะน้า พริก เชอร์รี่
    ฝรั่ง มะกอกไทย มะขามป้อม มะละกอสุก สับปะรด
    กะหล่ำปลี แครอท กะหล่ำดอก แตงกวา ผักกาดหอม หัวหอม ถั่ว งา

    ประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ
    มีความสำคัญในการรักษาเหงือก ฟัน กระดูก
    หน้าที่สำคัญคือ ช่วยร่างกายสร้างโคลลอเจน
    ซึ่งเป็นกาวที่ยึดเซลล์ การกินวิตามินซีจะทำให้ผิวสวย เล็บสวย
    เลือดดี เพิ่มความต้านทานโรค ทำให้แผลหายเร็ว
    ไม่เกิดอาการแพ้ต่างๆ ง่าย

    นักโภชนาการว่า การกินวิตามิน C กับวิตามิน A
    จะทำให้หวัดหายเร็วขึ้น (วิตามิน C 2,000 - 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน)
    สกัดมะเร็งไม่ให้ลุกลาม ป้องกันและรักษามะเร็งได้
    แต่ข้อที่ว่าวิตามิน C สร้างความต้านทานต่อมะเร็งนั้นยังไม่ยืนยันแน่นอน

    อาการขาดวิตามิน มีเลือดออกตามไรฟัน
    เบื่ออาหารเหงือกบวม ในเด็กน้ำหนักตัวจะลด โลหิตจาง
    ติดเชื้อง่าย ท้องไส้ผิดปกติ ทำให้ร้องงอแง
    แผลในกระเพาะอาหารต้องการวิตามิน C สูงๆ
    และการขาดวิตามินจะทำให้ผนังเนื้อเยื่อเปราะ
    เส้นเลือดแตกง่าย ตับจะอักเสบ
    หากเกิดอาการขาดที่รุนแรง จะทำให้เป็นมะเร็งได้ง่า


    วิตามิน K

    มีในผักสด ผลไม้ คะน้า รำข้าว กะหล่ำปลี
    ดอกกะหล่ำ มะเขือเทศ ข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้เลือดแข็งตัว
    คือ จะผลิตสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว


    อาการขาดวิตามิน เลือดจะแข็งตัวช้า
    เวลามีแผลเลือดจะหยุดไหลช้า

    วิตามิน D

    มีในเนย นม เนยแข็ง และควรจะถูกแดดทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน
    ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน ช่วยรักษาสิว
    ร่วมกับ B6 ถ้ากินในขนาดสูงๆ จะรักษาข้ออักเสบ เรื้อนกวางได้


    อาการขาดวิตามิน ในเด็กจะเกิดเป็นโรคกระดูกอ่อน
    วิตามิน D จะทำงานได้ต้องมีแคลเซียมและฟอสฟอรัส

    วิตามิน E

    มีในรำละเอียด ในพวกธัญพืช ข้าวโพด ถั่วแดง ถั่วเหลือง
    ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งาน้ำมันรำ น้ำมันถั่วลิสง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย จะช่วยเร่งออกซิเจนเข้าสู่เซลล์
    ทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ช่วยในการจับตัวของรกกับผนังมดลูก
    หากขาดกล้ามเนื้อจะไม่แข็งแรง เกิดการตกเลือด
    นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ
    และโรคประสาทในระยะหมดประจำเดือนด้วย
    และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
    ช่วยละลายเลือดที่แข็งตัว ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
    เช่น ที่หัวใจ ที่สมอง และยังป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ด้วย


    ธาตุเหล็ก

    มีในดอกและใบขี้เหล็ก ถั่ว มะเขือพวง น้ำตาลทรายแดง
    ตำลึง รำข้าว งา ฟองเต้าหู้ ผัก ผลไม้

    ประโยชน์ต่อร่างกาย มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง

    อาการขาดวิตามิน ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง

    แคลเซียม

    มีในนม เนย ถั่ว น้ำอ้อย น้ำตาลทราย รำ งาดำ
    กระถิน ใบยอ มะเขือพวง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
    ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบคุมประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ
    ช่วยให้เลือดแข็งตัว ช่วยให้นอนหลับ น้ำหนักตัวต่ำ
    และช่วยกล่อมประสาท ระงับความฟุ้งซ่าน

    อาการขาดวิตามิน ถ้าขาดมากๆ จะชักได้ กล้ามเนื้อสั่น
    และหากเกิดการขาดแคลเซียมในเด็ก จะทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน
    ในผู้ใหญ่จะเกิดอาการกระดูกเปราะหักง่ายและฟันผุ
    การที่ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้จะต้องมีวิตามินช่วย


    ไอโอดีน

    มีในเกลือทะเล สาหร่าย เกลืออนามัย

    ประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ที่คอ

    อาการขาดวิตามิน จะเป็นโรคคอพอก
    หากเกิดในเด็ก เด็กจะแคระ สมองทึบ โลหิตไหลเวียนในสมองช้า


    ฟอสฟอรัส

    มีในรำข้าว ข้าวโพด ฟองเต้าหู้ ข้าวแดง งาดำ
    ถั่วต่างๆ มะเขือพวง ผัก และผลไม้อื่นๆ

    ประโยชน์ต่อร่างกาย เสริมสร้างกระดูกและฟัน
    บำรุงสมอง ประสาท และกล้ามเนื้อ มีความสัมพันธ์กับแคลเซียม


    ทองแดง

    มีในถั่วฝักยาว ถั่วแขก พวกข้าว

    ประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้เม็ดโลหิตแดงมีอายุนานขึ้น ช่วยบำรุงประสาท




    วิตามินและแร่ธาตุ...


    คัดลอกจาก...
    http://www.cheewajit.com/vitamin.aspx/เวปธรรมจักร.เน็ต/บ้านมหา.คอม

  2. #2
    ศึกษาหาความรู้ สัญลักษณ์ของ lungyai1123
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    3,644
    บล็อก
    63

    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    ทราบกันดีว่าถ้าไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตม์ใช่ไหมครับ
    แต่อาจต้องมองลึกไปสักนิดว่าถ้ามันยังไม่ถึงที่ตาย
    แต่ก็ไม่วายชีวาวาตม์เสียทีเดียวนี้มันก็ทรมานไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
    ดังนั้นต้องพยายามอย่าใช้ช้อมส้อมขุดหลุม..พให้ตัวเองครับ
    ถ้าจะกินหรือจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดต้อง “Use with good judgment”
    เหมือนสโลแกนของท่านโอบาม่า
    อย่าไปเลือกชนิดที่เก่าแก่หรือเก่าเก็บมากจนเกินไป
    ด้วยว่าอาจมีสารพิษเกิดขึ้นในตัวของมันเองได้
    เช่น สารพิษโบทูลินุ่มในอาหารกระป๋องปนเปื้อน ที่ไม่นุ่มนิ่มจิ๋มจุ๋มอย่างที่คิด
    แค่สะกิดชิมเพียงนิดก็อาจพากันนอนชักเกร็งเป็นอัมพาตไปได้
    อย่าไปคิดว่ายิ่งแก่ยิ่งเจ๋ง Old but not expired
    แบบคุณแม็คเคนไปทุกสิ่งสรรค์ครับ มันอาจเป็นยิ่งแก่ยิ่งแสบ ยิ่งบ่นเก่งก็เป็นได้

    เลยขอนำดาวเด่นของสารผสมอาหารสิบสองชนิดที่พบบ่อย
    ที่มีผลพลอยได้คือถ้ากินสะสมเข้าไปมากแล้ว
    ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่าจะใช้แลกคูปองของรางวัล
    ไปทัวร์ยมโลกได้เร็วกว่าใครทีเดียวครับ

    เริ่มจาก 1) โซเดียมไนเตรท (โซเดียมไนไตรท์)
    หรือมืชื่อจุ๋มจิ๋มที่รู้จักกันว่า “ดินประสิว”

    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    พอได้ยินชื่อเพื่อนรักคนนี้แล้ว ต้องเห็นสีแดงตามมาเลยนะครับ
    ด้วยว่าอยู่ในกุนเชียงรสอร่อยมันเยิ้ม, ไส้กรอกรถเข็นสีแดงจัดจ้านราดน้ำจิ้มรสเด็ด,
    แหนมตุ้มขนาดพอคำ, ปลารมควันของฝากจากเมืองไกล
    หรือจะไส้กรอกฮ็อทด็อกสัญชาติอเมริกันสุดหรู จากร้านสะดวกซื้อ
    ที่เอามายืนถืองับกันจนน้ำราดแดงเหลืองไหลเยิ้มง่ามมือ

    เมนูอาหารสร้างสรรค์สังคมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดินประสิว
    ช่วยเสริมให้เนื้อแดงจัดชวนกินทั้งนั้น
    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ตัวเราไม่ใช่พลุหรือปุ๋ยมูลค้างคาว
    เราจึงไม่ต้องการดินประสิวมากขนาดนั้น
    เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะร้องค้านว่าเป็นส่วนเกินแล้ว
    ก็กระทำอารยะขัดขืนไม่ ยอมรับพร้อมกับสร้างกระแสมะเร็งขึ้นมาทันที
    โดยพบว่าเด็กที่กินไส้กรอกฮ็อทด็อกแบบนี้เพียงปีละโหลกว่าเท่านั้น
    จะมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินถึงสองเท่าเลยทีเดียว
    ในผู้ใหญ่ก็ไม่แพ้กันครับจะได้มะเร็งแถมมาด้วยพอกัน


    2) บีเอชเอ และบีเอชที
    (Butylated hydroxyanisole, butylated hydrozyttoluene)

    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    ฟังดูชื่อแล้วยังกับต้องทายปรัศนีบุคคลในคอลัมน์ซ้อเจ็ด
    หรือราวกับ อ่านภาษาต่างดาวอยู่ แต่แท้จริงแล้วชื่อจริงของมันยาว
    จึงขอเรียกเป็นชื่อย่อให้ไม่ระคายหูกันครับ
    สารร้ายนี้มีมากในอาหารเช้าแบบฝรั่งจำพวกซีรีล, ธัญพืชสำเร็จรูป, หมากฝรั่ง,
    มันฝรั่งและน้ำมันพืชครับ สารนี้เป็นสนิมอนุมูลอิสระโดยตรงเลยครับ
    ด้วยว่าตัวมันไม่เสถียร สามารถแตกตัวไปกลายเป็นเสือหิวอิเล็กตรอน
    ไปกัดกินอณูร่างกายคุณให้กลายเป็นมะเร็งได้ครับ


    3) โพรพิล แกลเลท

    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก แต่ก็ร้ายเงียบไม่แพ้กัน
    โดยมักใส่มากับสหายสนิทคู่คิดเจ้าเก่าสองนายคือ
    “บีเอชเอ” และ “บีเอชที” โดยเป็นศัตรูร้ายของผู้ที่พิสมัยในการบริโภคเนื้อแดง
    เช่น เนื้อวัว, เนื้อหมูหรือแม้แต่เนื้อก็มีในซุปไก่ และในหมากฝรั่งเป็นต้น
    จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า
    สารนี้มีพรสวรรค์ในการรังสรรค์มะเร็งได้ไม่แพ้กันครับ


    4) โมโนโซเดียมกลูตาแมท (เอ็มเอสจี)
    หรือที่รู้จักกันในชื่อสุดคลาสสิกว่า “ผงชูรส”


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    เมื่อพูดถึงผงชูรส ก็ชวนให้คิดไปถึงเมื่อกาลก่อน
    ที่รถเข็นขายบะหมี่ป๊อกๆตามบ้านที่จอดลวกเส้น ทำก๋วยเตี๋ยวตามสั่งให้
    แล้วเมื่อใส่เครื่องเคราเสร็จแล้วก็จะหยิบช้อนปลายเล็ก
    ขนาดเท่าไม้แคะขี้หูมากระดกเทเกล็ดขาวเล็กๆ ใส่ลงไปด้วยนิดหนึ่ง
    เรียกว่านับเกล็ดได้ทีเดียว ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่นเองคือผงชูรส
    และที่ใส่ให้น้อยกว่าไม่พรั่งพรูเหมือน กากหมูเจียวก็เพราะว่ามันแพงมากในสมัยนั้น
    ด้วยเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งคิดค้นได้ว่าโลกนี้ยังมีรสที่ลิ้นรับสัมผัสได้
    ว่าอร่อยนอกจากเปรี้ยว, หวาน, เค็ม, ขม
    (แต่เผ็ดนั้นไม่ใช่รส เป็นความแสบร้อนจากกรดแคปไซสิกแทน)
    แล้วก็ยังมี “รสอุมามิ (Umami)” ซึ่งแปลว่า “โอชารส” หรือรสอร่อยนั่นเอง


    แต่ข้อเสียของผงชูรสคือในภัตตาคารที่ทำอาหารขายคนหมู่มากนั้น
    มักไม่มีเวลาที่จะมานั่งทำน้ำสต๊อกให้ได้ปริมาณมากเป็นถุงเป็นถัง
    จึงต้องใช้วิธี ลักไก่โยนผงซุปชูรสนี้ลงไป
    ซึ่งถ้าเหยื่อ เอ๊ย...ลูกค้ารับประทานไม่มากและไม่บ่อยนักก็ไม่เป็นไร
    แต่บางท่านต้องผูกปิ่นโตไว้กับร้านเดิมตลอดก็อาจเกิดอาการพิษจากผงชูรสได้

    โดยอาการนั้นจะเป็นอาการของพิษต่อระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่ครับ
    ตั้งแต่ปวดศีรษะไม่ทราบเหตุ, ลิ้นชาปร่าแปลกๆ ไป
    จนถึงขั้นที่ทำให้อาเจียนเวียนศีรษะและตาบอดได้เลยทีเดียว
    ซึ่งที่จริงแล้วนั้นเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผงวิเศษนี้
    เพื่อทำให้อาหารของเรา ประดุจออกมาจากห้องเครื่องแดจังกึม
    เพราะว่าแท้จริงแล้วรสอุมามินี้คือ รสของกรดอะมิโน

    ซึ่งก็มีอยู่ตามธรรมชาติในเนื้อสัตว์ทั่วไป,
    น้ำซุปเนื้อ, เนื้อปลา หรือแม้แต่ผักคะน้า


    ดังนั้น จะเห็นว่าภูมิปัญญาเราที่เอาคะน้ามาผัดกับปลานั้น
    ก็ถือว่า เป็นความอร่อยแบบอุมามิได้โดยไม่ต้องใส่ผงชูรสเลย
    หรือถ้าท่านรู้จักเลือกชนิดของอาหารและนำน้ำเนื้อมาปรุงรวมกับผัก
    ก็จะให้รส อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผงชูรสสุดหวงของอาแปะบะหมี่เกี๊ยว
    หรือเพื่อทำให้อาหารของคุณรสเลิศ
    ประดุจเป็นฝีมือของจอมนางซางกุงแห่งวังหลวงเลย



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    ไส้กรอกแดงสวยราดน้ำจิ้มรสเด็ดหน้าโรงเรียนหรือเนื้อแดดเดียว,
    แฮมและเนื้อรมควันทั้งหลายเป็นแหล่งสำคัญของดินประสิว
    ที่แม้กินเพียงไส้กรอก เดือนละแท่ง
    ก็ช่วยเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งให้แซงหน้าเพื่อนพ้องได้แล้ว



    5) ทรานส์แฟ็ท หรือไขมันล่องหน

    ผู้ร้ายรายนี้เป็นไขมันชนิดหนึ่งครับตัวไม่ใหญ่โตอะไรมาก
    มักอยู่ใน คุกกี้, บิสกิต, ขนมเค้ก, ฟาสต์ฟู้ด, เบเกอรี่, ปาท่องโก๋ทั้งหลาย
    แต่ขยันก่อเรื่องนานัปการ โดยสถานที่เกะกะเกเรที่สำคัญอยู่ที่ทำเนียบฯ
    เอ๊ย...ทันโทษ อยู่ที่หลอดเลือดหัวใจครับ
    มันโปรดปรานการอุดหลอดเลือดหัวใจที่ชื่อ โคโรนารีมาก
    วันร้ายคืนร้ายมันก็ไปจับตัวรวมหัวกับสนิมอนุมูลอิสระ
    เกิดเป็นตะกรันชวนครั่นคร้ามให้หัวใจสูบเลือดไม่ออกเสียอย่างนั้น
    แล้วทีนี้จะไปหา กทม. มาลอกท่อที่ไหนก็ไม่ได้ด้วยว่า
    หลอดเลือดหัวใจนี้เล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่ถึงปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเองครับ


    สำหรับผู้ที่ติดการบริโภคเบเกอรี่นานาพันธุ์แบบหยุดไม่ได้นี้
    สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเพียงนั่งหน้าป๋อหลอรอเปลี่ยนบายพาสหลอดเลือดเท่านั้นเองครับ



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    รูปที่ 6ถ้าไม่อยากใช้ผงชูรสก็ยังมีวัตถุดิบธรรมชาติอื่น
    ที่ให้รส “อุมามิ” เหมือนกัน ได้แก่ เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ปลา และกุ้ง
    ดังนั้นการจับคู่อาหารอย่างชาญฉลาดของแม่ครัวพ่อครัว
    จะทำให้อาหารมีรสอร่อยลิ้นขึ้นมาก ได้แก่ ผัดผักคะน้ากับปลาเค็ม
    ผัดผักกระเฉดใส่หมูกรอบ ผัดผักกาดขาวใส่เห็ดหอม
    หรือพิซซ่าซึ่งมีมะเขือเทศกับชีส เป็นต้น



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    6)แอสปาแตม

    รู้กันดีอีกชื่อคือน้ำตาลเทียม มีหลายชนิดหลากยี่ห้อ
    แต่ที่ดั้งเดิมเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อนี้ก็คือแอสปาแตมนี่เอง
    แต่ก่อนแต่ไรนั้นมีการใช้ขัณฑสกรให้ความหวาน
    โดยชื่อของมันก็แปลว่า ผู้ทำให้หวานอยู่แล้ว
    ส่วนชื่อภาษาอังกฤษว่า ซัคคาริน ก็ยิ่งฟังดูหวานเข้าไปอีก
    ต่อมารู้ว่ามีพิษก็เลยผลิตแอสปาแตมขึ้นมาให้ความหวานแทน
    แต่กระนั้นก็ดีไม่นานก็มีผู้พบว่า
    แอสปาแตมนี้ถ้าโดนความร้อนก็อาจกลายเป็น “หวานมรณะ”
    ก่อม็อบให้ร่างกายรำคาญใจให้เป็นมะเร็งไปเสียรู้แล้วรู้รอดเลย
    และเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีน้ำตาลเทียมให้เลือกหลายชนิดขึ้น
    โดยอ้างว่า ปลอดภัยใสซื่อมาก
    ซึ่งก็จริงอยู่ครับแค่ระวังอย่าไปใช้ชงกาแฟ
    หรือเหยาะบนก๋วยเตี๋ยวร้อนควันโฉ่เข้าก็แล้วกันเดี๋ยวมะเร็งถามหาครับ



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    รูปที่ 8 “น้ำตาลเทียม” ถ้าใช้ให้ปลอดภัย
    ขอให้ระวังอย่าใส่ในของร้อน เช่น กาแฟ, ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารร้อนอื่น


    9 โอเลสตร้า

    โอเลสตร้าเป็นไขมันสังเคราะห์ที่พบมากในมันฝรั่งแผ่นทอดกรุบกรอบ
    และ ขนมทอดใส่ถุงชวนหยิบเคี้ยวเล่นแก้เหงาปากทั้งหลาย
    โดยโอเลสตร้านั้นถ้าเผลอหยิบกระแทกปากมากไปก็จะเกิดอาการท้องเดิน,
    ปวดมวนท้องแบบบีบๆ และท้องอืดหลามไปด้วยแกสได้
    นอกจากนั้นโอเลสตร้ายังก่อกรรมให้วิตามินเอ

    ที่คุณอุตส่าห์กินจากผลไม้เข้าไปนั้นไม่สามารถดูดซึมได้ดีด้วย9)



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    รูปที่ 9 ขนม “มาซิแพน (Marzipan)” ของฝรั่ง
    ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์บดเคลือบน้ำตาล เป็นต้นกำเนิดของ “ลูกชุบ” บ้านเรา
    ที่ต้องระวังเรื่องของสีสันอันสดใสจากสารสังเคราะห์ให้ดี



    10) โพแทสเซียม โบรเมต

    ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเมื่อต้องการเพิ่มปริมาตรของขนมปัง,
    เค้ก, แยมโรลและขนมแป้งทั้งหลาย
    มันเป็นสารที่รู้กันดีในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า
    ทำให้เกิดมะเร็งได้ไม่ยากเย็นนักในสัตว์ทดลอง
    ส่วนในคนนั้นแม้มีปริมาณเพียงน้อยในขนมปังขาวสักแผ่น
    ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้แล้วครับ



    11) น้ำตาลขัดขาว

    ท่านที่อ่านงานของผมมาตลอดอย่างน้อยต้องจำคาถาพาอายุยืนข้อหนึ่ง
    ที่ผมขอให้ท่องกันให้ได้ขึ้นใจครับ นั่นคือเลี่ยง “แป้งกับน้ำตาลขัดขาว”
    ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในเบเกอรี่ทั้งหลาย, ธัญพืชสำเร็จรูป, คุกกี้, แคร็กเกอร์,
    ซอสปรุงรสและอาหารที่ผ่านกระบวนการทำให้น่ากินตามห้าง
    ด้วยว่าแป้งและน้ำตาลขัดขาวนี้ถ้าได้มากเกินไป
    ร่างกายก็ต้องทำงานหนักในการช่วยลดมันลงให้ไม่ไปจับตามอวัยวะต่างๆ
    เมื่อทำงานหนักมากเข้าร่างกายก็อาจสไตร๊ค์และปล่อยให้คุณแก่เลยตามเลยไปก็ได้



    รูปที่ 10 มันฝรั่งทอดกรุบกรอบรสยอดนิยมที่ไว้กินเล่นยามเหงาปากหรือเชียร์บอลนั้น
    ถ้ารับประทานมากไปจะได้สาร “โอเลสตร้า”
    ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเดินปวดท้อง และขาดวิตามินเอได้ครับ



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    รูปที่ 11 ถ้าไม่อยากแก่เร็วให้เลี่ยง “แป้งและน้ำตาลขัดขาว”
    ซึ่งเจืออยู่ในอาหารเกือบทุกอย่างในยุคนี้
    และเมื่อกินเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายยิ่งหลั่งฮอร์โมนแก่ออกมามากขึ้น


    12) โซเดียมคลอไรด์ หรือชื่อที่ซับซ้อนกว่าคือ “เกลือแกง”

    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”

    เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ภัยเงียบ” เลยทีเดียวครับ
    สำหรับเกลือแกงนี้ ด้วยว่าปัจจุบันแทรกซึมเป็นยาดำอยู่
    จนแม้กระทั่งอาหารเด็กอ่อนด้วยว่า เมื่อสำรวจแล้วพบว่าเด็กก่อนวัยเรียนนี้
    ได้รับเกลือแกงสูงกว่าที่ควรจะได้หลายเท่าทีเดียว
    ซึ่งเป็นปริมาณที่เกินกว่าไตอ่อนๆของเด็กจะขัดล้างออกไปได้หมด
    และเมื่อเกลือมีค้างอยู่ในกายมากก็จะทำให้ความดันสูงขึ้น เกิดไตวายและตายไวได้
    ดังจะเห็นได้ว่า เด็กเดี๋ยวนี้หลายคนต้องไปนั่งไขว่ห้าง
    ล้างไตแข่งกับผู้ใหญ่
    ก็มีให้เห็นหนาตาแล้วเหมือนกัน

    ส่วนในผู้ใหญ่นั้นก็หายห่วงได้เลยว่า เกลือแกงที่สูงจะไปช่วยดองเค็มหัวใจ
    ให้ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อคุมความดันที่พากันสูงขึ้น
    อย่างไม่ปรานีปราศรัยจากฤทธีของโซเดียมตัวร้าย
    ถ้ายังนอนใจไม่แก้ไขลดเกลือก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่า

    หัวใจไร้รักเปลี่ยนเป็นเต้นกระตุกผิดจังหวะฮิปฮอปแล้วก็ขี้เกียจเต้นไปเองในที่สุดครับ



    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”


    รูปที่ 12 ขอให้เปลี่ยนจากแป้งและน้ำตาลขัดขาวเป็นแป้งที่มีกาก
    (Complex carbohydrate, High GI)
    แทน
    เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดขึ้นอย่างพรวดพราด
    จนร่างกายตั้งรับไม่ทันแล้วทำให้เกิดสนิมแก่ขึ้นมากมาย


    สรุปส่งท้ายไว้อย่าให้ “กลัวจนอดตาย”

    เท่าที่อ่านๆ ดูก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงสรุปได้เช่นเดียวกันว่า
    การจะรู้ว่าอาหารใดใส่สารปรุงแต่งอันใดบ้างนั้นค่อนข้างยาก
    ราวกับประกวดเอเอฟให้ได้ถูกใจครูเป็ด
    แต่ก็พอจะบอกได้ว่าอาหารที่ควรจะเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้สารพิษแถม
    คือ อาหารสอดไส้สองล้าน

    เอ๊ย...ทันโทษ อาหารจำพวกของทอดกรอบเกรียมเปี่ยมน้ำมัน,
    อาหารแปรรูปรมควันทั้งหลายได้แก่ ไส้กรอก, กุนเชียง, หมูแฮม,
    หมูแผ่น, เนื้อรมควัน, ปลาเค็มทั้งหลายครับ
    และอาหารที่มีสีสันสดใสไร้ขีดจำกัดจนแทบจะเรืองแสงฉับเมื่อดับไฟ
    รวมถึงอาหารตามเหลาดังคนนั่งเต็มล้นเพราะมีโอกาสสูง
    ที่จะใช้ผงชูรสแทนความหวานจากการนั่งเคี่ยวกระดูกคาตั๊งหรือโครงไก่
    ให้โอชะจากกระดูกออกมาเจือจน
    น้ำซุปหวานกลมกล่อมตามธรรมชาติ

    เพราะไม่มีเวลาและไม่มีคนพอที่จะมานั่งทำงานให้เกินเวลาอย่างนั้น

    ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่า การจะอยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีสุขภาพดีนั้น
    สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การมีเงินทองกองมากพากันลากซื้อของดี
    มากินบำรุงมุ่งแต่สวยหล่อ ด้วยว่าของดีเหล่านั้น
    อาจเป็นพิษก็ได้ใครจะรู้ เช่นหูฉลามหรือปลิงทะเลที่มีโลหะหนักแถมอยู่มากมาย
    รวมถึงอาหารเสริมต่างๆนาๆราคาเฉียดซื้อรถได้นั้น
    ก็อาจทำให้เราได้รับสารอาหารเกินไปแล้วไปสะสมก็ได้

    แต่สิ่งสำคัญของการกินให้มีสุขภาพดีคือ “กินด้วยปัญญา” หรือกินอย่างรู้เท่าทัน
    ไม่มันส์ไปกับการกินอย่างคะนองปากหรือกิน
    เพราะความเสียดายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ที่เหลืออยู่ค่อนหม้อ
    ไปจนถึงเนื้อชาบูที่ถูกเคี่ยวกรำจนหดเหี่ยวจับจีบ
    ประดุจงานฝีมือทำดอกไม้จากวัสดุธรรมชาติ
    คือถ้าท่านได้บริโภคโดยใช้สมองไปพร้อมกับกล้ามเนื้อช่วยเคี้ยวที่ครอบอยู่
    รอบกระพุ้งแก้มที่เรียกว่า กินด้วยปัญญาและมีสติก่อนนำอาหารแต่ละคำใส่ปาก
    แล้วก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้วครับ
    ที่เหลือถ้าจะมีสิ่งใดเกิดก็ขอให้อย่าไปโทษตัวเองครับ


    “มัจจุราชเงียบในอาหาร”



    รูปที่ 13 ภาพ “มรณพิธีของท่านเคาท์แห่งออกาซ”
    โดยฝีมือจิตรกรเอกลูกรักของชาวสเปนนาม “เอล เกรโค่”
    แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้นถ้าแม้นทำดีใฝ่ดีมาตลอดชีวิตแล้ว
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนก็อาจเมตตาถึงขนาดเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้





    เครดิต : เวปธรรมจักร.เน็ต/บ้านมหา.คอม

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •