*โรคฮิตของคนออฟฟิต*

*โรคฮิตของคนออฟฟิต*

เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนออฟฟิต

สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในยุคนี้ ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารกันมากขึ้น
(โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิสซึ่งมักจะทำงานแข่งกับเวลา และทานอาหารไม่เป็นเวลา)
เกิดจากความเครียดที่สะสมในแต่ละวันนั่นเอง


เครียดที่ใจ ทำไมเป็แผลที่กระเพาะ

แพทย์หญิงเพ็ญแข แดงสุวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหาร
กล่าวว่าความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ
เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไต
ให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา ในปริมาณมากกว่าปกติ
ส่งผลให้ร่างกายมีการตื่นตัวตลอดเวลา และก็เป็นความเครียดอีกเช่นกัน
ที่กระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ
จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และลำไส้มีอาการหดตัวมากกว่าปกติ
ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวด รวมถึงทำให้ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก


สังเกตความเครียด ก่อโรค

ในขณะที่เราเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น
ปอดขยายตัวเพิ่มขึ้นสร้างออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อและหัวใจ
เราจึงหายใจเร็วขึ้น และรูจมูกขยาย เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น
ต่อมเหงื่อทำงานหนักขึ้นเพื่อบรรเทาความร้อนในกล้ามเนื้อ

ทำให้เส้นเลือดฝอยในชั้นใต้ผิวหนังหดตัว เกิดอาการขนลุก
ต่อมไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารออกมามากขึ้น
เพื่อเพิ่มพลังงาน การกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้
อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับและอยากอาหารเพิ่มขึ้น



ความเครียดยังทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง ปากแห้ง
และยิ่งไปกว่านั้น ความเครียดยังทำให้การทำงานของกระเพาะอาหาร
และลำไส้หยุดชะงักลง เพื่อถนอมพลังงานสงผลให้ กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น
ทำให้เกิดอาหารปั่นป่วนในช่องท้อง และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน



นอกจากพฤติกรรมทางกายที่กล่าวมาแล้ว จิตใจก็มีส่วนสำคัญมาก
ต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหารผู้ที่สะสมความเครียดมานาน เป็นเดือนเป็นปี
จะยิ่งมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองได้ว่า
เราเข้าข่ายเครียดจนใกล้จะเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือยัง


หากรู้สึกเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีอาการมึนงง หงุดหงิด รำคาญใจอยู่บ่อยๆ
อยากอยู่คนเดียว นอนไม่หลับ ท้องผูก ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังมีอาการเครียด
ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า มีโอกาสป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารในเร็ววัน


อาการแบบไหนใช่โรคกระเพาะ


* รู้สึกปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง
และอาการปวดเหล่านี้จะลดลงหรือหายไป เมื่อเรารับประทานอาหาร


* มีอาการปวดหลัง หลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง
จะมีอาการปวดหลังช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเราเริ่มย่อยอาหาร

* รู้สึกแน่นท้อง ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาจเกิดจากการรีบกินอาหาร
การกลืนอาหารเร็วเกินไป รวมไปถึงการดื่มน้ำมากขณะกินอาหาร
ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะแปรปรวน


* รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เสียดหน้าอก มักจะเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย

หากมีอาการปวดท้องรุนแรง ชนิดที่ว่าหายใจแรงก็ปวด ถ่ายท้อง
อาเจียนหรืออุจาระออกมาเป็นเลือด และมีสีดำตลอดเวลา ให้รู้ไว้เลยว่า
อาการอยู่ในขั้นอันตราย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นการด่วน
หากช้าเกินไป อาจเกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกทางเดินอาหารได้


หลากวิธีหนีโรคกระเพาะอาหาร


* กินอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ เป็นข้อปฏิบัติอย่างแรกที่ควรทำ
เพราะจะช่วยให้กระเพาะอาหารเคยชินกับการย่อย
และปล่อยน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่พอดีทุกวัน


* สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ในระยะแรกให้ฝึกการกินอาหารให้ตรงเวลา
อาจรู้สึกปวดท้องมาก ควรเริ่มจากการกินอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
ทีละน้อยๆก่อน ทั้งนี้ควรงดอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด ของดอง
และอาหารทอดทุกประเภท

* เลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมทั้ง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง
และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ
และอาจทำให้โรคกระเพาะอาหารที่เป็นอยู่กำเริบหนักขึ้น


* หยุดยาแอสไพริน ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
เพราะยาจำพวกนี้จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบมากขึ้น
ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาข้ออักเสบ
ควรสอบถามเพื่อความมั่นใจจากแพทย์ก่อน

* หากิจกรรมคลายเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การออกกำลังกาย
เช่น วิ่งเหยาะๆ เดินเร็ว ขี่จักรยาน รำมวย รำกระบอง เต้นแอโรบิก หรือทำสมาธิ
อ่านหนังสือ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยลดความเครียด
และในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารให้หายขาดได้







ที่มา...นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 230
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=33310
บ้านมหา.คอม