กล่าวสวัสดีพ่อแม่พี่น้องที่เคารพทุกท่าน คิดถึงกันบ้างหรือป่าว ห่างหายไปซะนาน นี่ก็เป็น
บทความในรอบหลายสัปดาห์เลย พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลามานั่งเขียนบทความซักเท่าใดนัก และ
แล้วก็มีเวลาซักทีเอาละ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ จะไม่ทำให้แฟนๆที่ติดตาม ผิดหวังแน่นอน เข้าเรื่อง
กันเลยดีกว่าครับ
ณ ปัจจุบันนี้รถยนต์ได้มีการพัฒนาแบบก้าวกรโดไปไกลมาก เรียกว่าสามารถสื่อสารกับเจ้าของ
รถได้เลย ซึ่งมันจะดีไม่น้อยถ้ารถเราเสียแล้วบอกเราได้แบบ Siri ใน iPhone ซึ่งความรู้สึกของ
Admin ในอีกไม่ช้าเราจะได้เห็นเทคโนโลยี่นี้แน่นอน แต่จะเป็นเจ้าไหน ยี่ห้อไหน ต้องเคยติดตาม
ข่าวกันครับ
จริงๆแล้วทุกวันนี้ทางผู้ผลิตก็ได้สร้างระบบที่สามารถแจ้งเราได้ในระดับหนึ่ง ออกมาให้ใช้กัน
นานแล้วเพียงแต่เราไม่สนใจมันสักนิดหรือไม่ หรือสนใจแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรืออะไรก็ตาม วันนี้
เราจะมาดูกันว่า รถของเราๆท่านๆพยายามจะสื่ออะไรกับเราบ้าง

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ทุกครั้งที่เราบิดสวิตช์กุญแจหรือ เรียกว่า IG on (Ignition On) ไฟหน้าปัดของเราจะติดขึ้น
ทุกดวง เพื่อทดสอบระบบการทำงาน จากนั้นหลังจากสตาร์ตเครื่อง ไฟจะดับลงแต่ไม่ทั้งหมด อาจ
จะมีไฟบางดวงติดอยู่ ฉะนั้นไฟอะไรที่ควรติดค้างเป็นปกติหรือไฟอะไรถ้าติดแล้วไม่ปกติ ผมจะคัด
แบบเด็ดๆมาให้ลองดูกันครับ

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ไฟรูปเครื่องยนต์ ดวงนี้เป็นดวงที่เด็ดที่สุด สำคัญที่สุด เพราะถ้าเครื่องยนต์สตาร์ตติด
แล้ว ไฟรูปนี้ไม่ดับ แสดงว่าเครื่องยนต์ของคุณอาจมีปัญหา ทั้งนี้อาจมาจากตัวตรวจจับต่างๆที่
เรียกว่า Sensor มีอุปกรณ์บางอย่างไม่สมบูรณ์ หรือทำงานไม่เต็มที่ หรือตัวกล่องสมองที่ประมวล
ผลมีปัญหา ในส่วนมากรถที่มีไฟเครื่องยนต์ติดขึ้นมา จะขับได้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น และบางทีอาจ
ไม่สามารถขับได้เกินกว่า 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะระบบกล่องสมองของเครื่องยนต์ ได้
ล็อกและใช้โปรแกรมสำรองภายใน ให้คุณได้ประคองรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ
เอาเครื่องมือวิเคราะห์เสียบต่อทางช่อง OBD II จากนั้นเครื่องยนต์คุณไม่สบายตรงไหน ก็จะ
สามารถรู้ได้ทันที โดยไม่ต้องนั่งคาดเดาอีกต่อไป เจ๋งใช่ไหมล่ะ ?? ส่วนช่อง OBD II จะอยู่ตรง
ฝั่งคนขับบ้าง หน้าปัดบ้าง แค่รู้ไว้ก็พอครับ แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ อันนี้ต้องไปหาศึกษากันตามหนังสือ
ซ่อมรถต่างๆ ที่มีในท้องตลาดครับ

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )


ไฟรูปปรอทวัดไข้ ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์ ไฟรูปอุณหภูมิเครื่องยนต์ ปัจจุบันนี้
เข็มวัดระดับความร้อนค่อยๆหายไปจากหน้าปัดรถสมัยใหม่โดยมีไฟหน้าตาแบบนี้หรือคล้ายๆแบบ
นี้มาแทนที่ โดยบางครั้งเมื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ใหม่ๆ จะติดเป็นสีน้ำเงิน พอเครื่องยนต์มีอุณภูมิ
ได้ที่แล้วจะดับไป แต่ถ้ามันขึ้นสีแดงเมื่อไรแสดงว่าตอนนี้รถของคุณไข้ขึ้นนะครับ ให้รีบหาที่จอด
ให้เร็วที่สุด ดับเครื่องยนต์แล้วแจ้งหน่วยกู้รถ หรือหน่วยบริการเคลื่อนย้ายรถ เพื่อย้ายรถของคุณไป
ยังศูนย์บริการ หรืออู่ที่ใกล้ที่สุด มิฉะนั้นคุณอาจสูญเสียค่าซ่อมเป็นจำนวนมาก เช่นฝาสูบโก่งและ
ประเก็นฝาสูบแลบ ฯลฯ

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่ พอเครื่องยนต์ติดแล้วไฟดวงนี้ควรจะดับไป ถ้าไม่ดับแสดงว่างาน
เข้าแล้วเข้า เพราะระบบไฟในรถของคุณแบตเตอรี่เป็นแค่ตัวสำรองไฟเอาไว้สตาร์ตเครื่อง และใช้
เลี้ยงหน่วยความจำในกล่องสมองกล และนาฬิกาในรถเท่านั้นซึ่งเรียกได้ว่ากินไฟน้อยมากๆ
เครื่องยนต์เราจะมีแหล่งกำเนิดไฟที่เรียกว่า “อัลเตอร์เนเตอร์” หรือช่างบ้านเราชอบเรียกว่า “ไดชาร์จ”
นั่นแหละ มันจะทำหน้าที่สร้างไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตฯ ที่เรียกว่าชาร์จ พอแบตฯเต็มก็จะไม่ชาร์จ
และนอกจากชาร์จแล้ว มันยังจ่ายไฟให้กับระบบต่างๆ ภายในรถ เช่นไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว ไฟท้าย
เครื่องปรับอากาศ วิทยุ เครื่องเสียง ฯลฯ ซึ่งถ้าระบบไฟชาร์จคุณเริ่มมีปัญหาเมื่อไร มันจะเริ่มถอน
ไฟในบัญชีที่คุณเก็บไว้ในแบตฯจนกระทั่งหมด และเคลื่อนที่ไม่ได้ดังนั้นควรตรวจระดับน้ำกลั่นใน
แบตเตอรี่เสมอๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้าเป็นแบบเปียก หรือแบบต้องเติมน้ำกลั่น และถ้าเป็น
แบนฯแห้ง อย่าลืมจดว่าแบตคุณซื้อมาวันไหน เพราะหลัง 18เดือนปุ๊บ มันจะเริ่มเสื่อมทันที สรุปถ้า
คุณเห็นไฟดวงนี้ขึ้น ไม่ต้องตกใจ รีบปิดไฟหน้าให้เหลือแค่ไฟหรี่ ปิดแอร์ เปิดกระจก และเตรียมหา
ที่จอดเพื่อทำการติดต่อศูนย์บริการ หรืออู่เพื่อทำการตรวจซ่อมต่อไป ( วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ )

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ไฟเตือนไฟเบรก ทุกครั้งที่เราติดเครื่อง และลดเบรกมือลง ก่อนเคลื่อนที่ไฟดวงนี้จะ
ต้องดับลงทุกครั้ง ถ้าไฟยังติดค้างอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าคุณลดเบรกมือไม่สุด หรือระดับน้ำมันเบรก
ในกระปุกพักเริ่มลดลงจนถึงระดับที่ไม่น่าปลอดภัยทำไมระดับน้ำมันเบรกถึงลดได้ เพราะผ้าเบรก
อาจมีการสึกหรอจนถึงจุดๆหนึ่ง ทำให้ระดับน้ำมันเบรกในกระปุกพักลดลงนั่นเอง วิธีแก้ปัญหา
เฉพาะหน้า ให้จอดเพื่อตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันเบรกหรือไม่ ถ้ามีห้ามขับโดยเด็ดขาด
ให้เรียกหน่วยเคลื่อนย้ายรถ ของคุณไปยังศูนย์บริการหรืออู่ที่ใกล้ที่สุดที่คุณไว้ใจได้ แต่ถ้าไม่พบ
ร่องรอยของการรั่วไหล ให้หาน้ำมันเบรกมาเติมในกระปุกพัก ควรจะเป็นยี่ห้อเดียวกันและ DOT ที่
เท่ากันด้วนนะครับเพราะน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อและ DOT ที่ไม่เท่ากันอาจแยกชั้นได้ จากนั้นให้ขับ
ด้วยความระมัดระวังไปเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ที่ท่านเลือกต่อไป

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ไฟเตือนรูป ABS ไฟนี้ก็ควรจะดับเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ถ้าไม่ดับแสดงว่า ระบบป้องกัน
ล้อล็อกตายขณะเบรกของคุณมีปัญหา แต่ไม่ตกตื่นตระหนก รถคุณยังขับได้ เบรกอยู่ แต่ระวังนิด
นึงว่า ห้ามเบรกกะทันหันโดยเด็ดขาด ค่อยๆ ไปครับ ถ้าไม่มีอะไรมาก ก็อาจเป็นแค่ Sensor วัด
ความเร็วดุมล้อด้านใดด้านนึง ของสักล้อเสียหรือเสื่อม หรือปลั๊กหลวม ปลั๊กหลุด สายขาด ค่อยๆ
ขับชิลๆ เข้าศูนย์ หรืออู่ ไว้วางใจได้เลย แต่ต้องจำไว้ว่า “ห้ามเบรกกะทันหันเด็ดขาด!!”

ไฟเตือน ( ระวัง !! อันตรายที่อย่ามองข้าม )

ไฟรูปกาน้ำมันเครื่อง ไฟดวงนี้ขึ้นเมื่อไร หาทางจอดและดับเครื่องให้เร็วที่สุดนะครับ
เพราะแรงดันน้ำมันเครื่องในเครื่องยนต์ของคุณกำลังลดลงจนเกิดปัญหาใหญ่ เรียกว่าใหญ่มากๆ
เสียด้วย อาจถึงขั้นชาร์ฟละลายหรืออาจจะต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ทั้งเครื่องกันเลยทีเดียว หลังจาก
จอดรถดับเครื่องยนต์ให้รอจนเครื่องเย็น และทำการวัดระดับน้ำมันเครื่องอีกครั้ง ถ้าขาดหรือพร่อง
ให้หาเติมจากนั้นลองติดเครื่องดูอีกครั้งว่าไฟดับลงหรือไม่ ถ้าดับให้นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่
เพื่อทำการตรวจสอบ หรือตรวจซ่อมต่อไป
จริงๆแล้วยังมีไฟเตือนอีกมากมาย ทั้งนี้อาจแตกต่างกันไปแต่ละยี่ห้อ รุ่น ดังนั้นควรทำการ
ศึกษาคู่มือประจำรถ และทำตามคำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเตือนพวกนี้มาหลอกหลอนกันได้อีก
ขอจบบทความนี้แต่เพียงเท่านี้ และสัปดาห์หน้าจะมาเขียนวิธีดีๆ หรือสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับรถยนต์อีก
ต้องติดตามครับ

แหล่งที่มา http://www.54niwat.com