พระนอนและสิงห์คู่แบบล้านนาที่ด้านหน้าทางเข้าวัดพระธาตุสุโทน
“วัดพระธาตุสุโทน” งามล้ำจับจิต แฝงปริศนาธรรม
หากใครได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยือน เมืองแพร่ ดินแดนแห่งหม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอ (ส่วนหนึ่งของคำขวัญจังหวัด : หม้อห้อม สะกดตามคำขวัญจังหวัด) ก็จะรู้ว่า แพร่เป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรมแบบล้านนาตอนล่างอันเป็นเอกลักษณ์ และวิถีอันสงบงามที่น่าสนใจเมืองหนึ่งในภาคเหนือ แถมในความสงบงามของเมืองแพร่ที่หลายๆ คนมองเป็นเมืองผ่านนั้น ถ้าหากได้มองกันอย่างเพ่งพินิจแล้ว แพร่มีสิ่งชวนชมสวยๆ งามๆ แอบแฝงซ่อนเร้น ประหนึ่งพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อนให้ชมกันหลายจุดทีเดียว
อย่างบนถนนหมายเลข 101 (เด่นชัย-ลำปาง) ที่เป็นทางผ่านจากตัวเมืองแพร่ไปลำปางหรือไปสุโขทัย ณ จุดห่างจากสามแยกเด่นชัยไปประมาณ 5 กิโลเมตร ริมถนนสายนี้จะมองเห็นพระนอนองค์โตและวัดหลังงามตั้งตระหง่านอยู่บนเนินย่อมๆ ที่เห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาโดนใจในความโดดเด่นสวยงามของวัดแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
พระนอนและสิงห์ด้านหน้าทางเข้าวัด
วัดแห่งนี้ก็คือ “วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีสามัคคีธรรม” หรือ “วัดพระธาตุสุโทน” ที่เพียงแค่แรกพบเห็น มนต์เสน่ห์ของวัดก็ดึงดูดให้เราออกจากรถมุ่งหน้าลงไปค้นหาในความงามแห่งพุทธศิลป์ของวัดแห่งนี้ในทันที
ปกติวัดทั่วๆ ไปในเมืองไทยที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงามนั้น ส่วนใหญ่ต้องก้าวข้ามพ้นกำแพงวัดไปก่อนถึงจะพบกับความสวยงามภายในกำแพง ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร พระธาตุเจดีย์ พระประธาน หอไตร จิตรกรรมฝาผนัง ฯลฯ แต่สำหรับที่วัดพระธาตุสุโทนนี่มีความงามให้ยลกันตั้งแต่นอกกำแพงวัดเลยทีเดียว โดยสิ่งแรกที่พบเจอแล้วโดดเด่นชวนชมเป็นอย่างยิ่งก็คือ พระนอนองค์โต ที่ประดิษฐานอยู่ด้านซ้ายของประตูกลางทางเข้าวัด
พระนอนองค์นี้ สร้างด้วยศิลปะแบบพม่าอย่างละเมียดละไม มีพระพักตร์หวาน จีวรเป็นริ้วดูพลิ้วสวยงาม ฝ่าพระบาท 2 ข้างแกะสลักด้วยลวดลายมงคล และมีพุทธสรีระงดงามสมส่วน
ถัดมาช่วงกลางวัด ตรงบันไดทางขึ้นถูกขนาบข้าง 2 ฟากฝั่งด้วยสิงห์คู่สีทองยืนเด่นเป็นสง่า สมดังผู้พิทักษ์รักษาบันไดทางขึ้นสู่แดนแห่งธรรม ในขณะที่ขอบบันไดก็มี 2 ผู้พิทักษ์ธรรมอย่างพญานาค 7 เศียรที่ทอดตัวเลื้อยขนาบ 2 ข้างลงมาจากซุ้มประตูกลาง ซึ่งทางวัดพระธาตุสุโทนสร้างด้วยศิลปะปูนปั้นเปลือย โดยจำลองแบบมาจากวัดพระธาตุลำปางหลวง แห่งเมืองรถม้า จังหวัดลำปาง
หนึ่งในของเก่าแก่ในพิพิธภัณฑ์สุวรรณหอคำ
มัคนารีผลในพิพิธภัณฑ์สุวรรณหอคำ
หากใครเมื่อเดินขึ้นบันไดกลางนี้ แล้วพบว่าประตูทางกลางทางเข้าวัดปิดก็อย่าได้แปลกใจไป เพราะวัดนี้มีความเชื่อว่า ประตูทางกลางทางเข้าวัดมีไว้สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน เชื้อพระวงศ์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ และผู้มีบุญบารมีเท่านั้น ส่วนปุถุชนคนธรรมดาก็ให้เดินเข้าวัดทางประตูฝั่งซ้าย-ขวาตามความสะดวก
งานนี้เราเลือกเข้าประตูทางฝั่งขวาที่ซุ้มประตูฝั่งนี้จำลองแบบมาจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ (ส่วนซุ้มประตูด้านซ้ายอีกฝั่งจำลองมาจากวัดพระธาตุหลวง เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว) ที่เมื่อเดินก้าวข้ามกำแพงวัดเข้าไปก็ได้พบกับความงามมากมายรออยู่
จุดแรกที่ไปชมคือ “พิพิธภัณฑ์สุวรรณหอคำ” ที่เป็นอาคารทรงล้านนาสร้างด้วยไม้สักทอง มีเสาทั้งหมด 101 ต้น เป็นจำนวนเท่ากับหมายเลขถนน (สาย 101) ที่ผ่านหน้าวัด ส่วนข้างในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่หายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนมากเ ครื่องดนตรีโบราณ รูปเคารพโบราณต่างๆ หม้อไหเก่า เครื่องทองเหลือง เครื่องกระเบื้อง เครื่องเขิน เครื่องสังคโลก อาวุธโบราณ ฯลฯ รวมถึงภาพถ่ายโบราณต่างๆ นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์กฎหมายมังรายศาสตร์ ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของเมืองแพร่อันว่าด้วยการปกครองและการพิจารณาคดีความต่างๆ
ส่วนที่สะดุดตา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เป็นพิเศษ เห็นจะเป็นวัตถุเล็กๆ คล้ายรากไม้แห้งที่ทางวัดระบุว่าเป็น มัครีผล (มัคนารีผล) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายคนไม่น้อยเลย หลังเดินชมของล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์กันพอสมควรแก่เวลาแล้ว เรามุ่งหน้าเข้าสู่เขตโบสถ์ของวัดแห่งนี้ทันที
ยักษ์คู่ 2 ตน ยืนเฝ้าหน้าทางเข้าเขตโบสถ์
สำหรับในเขตโบสถ์วัดพระธาตุสุโทน “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ยกให้เป็นอีกหนึ่งดินแดนแห่งความงามของงานพุทธศิลป์ในลำดับต้นๆ ของเมืองไทย โดยเริ่มตั้งแต่ปากทางเข้ากำแพงโบสถ์ที่มีทวารบาลยักษ์คู่ตัวเขียวและตัวน้ำตาลยืนถือขวานยาวเฝ้าปากประตูท่าทางขึงขัง
จากนั้นเมื่อก้าวข้ามเขตกำแพงโบสถ์เข้าไป ภาพความงามในงานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และงานพุทธศิลป์ต่างๆ ที่เห็นนั้น ช่างงามจับจิตจับใจ งามไปแถบทุกจุดที่เราพบเจอ ทั้งงานแกะสลัก งานปูนปั้น พระพุทธรูป และลวดลายประดับต่างๆ
ที่สำคัญคือในความงามที่พบเห็นแทบทุกอณูของเขตโบสถ์นั้น ล้วนแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมทั้งสิ้น ซึ่งหากเดินดูผ่านๆ คงจะไม่รู้หรอก โชคดีอย่างล้นเหลือ เมื่อได้ไปพบกับ ท่านพระครูบามนตรี ธมฺมเมธี (พระครูวิฑิตพิพัฒนาภรณ์) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุสุโทน แห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ
พระครูบามนตรีท่านนี้แหละ คือผู้รังสรรค์ผลงานปานเนรมิตต่างๆ ของวัดพระธาตุสุโทนแห่งนี้ ซึ่งท่านได้เล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่เป็นผู้สนใจในงานศิลปะมาก ชอบปั้นพระมาตั้งแต่เด็ก พอบวชก็ได้ไปเรียนวิชาปั้นพระสร้างวิหารจากครูบาคัมภีระปัญญา ที่วัดเฟือยลุง จังหวัดน่าน
โบสถ์งานศิลปกรรมล้านนาผสมผสานอันกลมกลืนลงตัว
หลังจากนั้นท่านได้ออกเดินทางไปศึกษางานพุทธศิลป์ระดับมาสเตอร์พีชตามวัดวาอารามที่ต่างๆ ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ (จีน, พม่า และลาว) ก่อนจะนำเอาจุดเด่นของงานศิลปกรรมตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดทางภาคเหนือมาสร้างเป็นวัดพระธาตุสุโทน ในปี พ.ศ. 2527 วัดแห่งนี้ไม่ได้เน้นในการสร้างงานแบบใหญ่โตอลังการอย่างที่หลายๆ วัดทำกัน แต่เน้นไปที่การสร้างงานพุทธศิลป์อันงดงามสมส่วน โดยระดมช่างฝีมือชั้นยอดที่เรียกว่า “สล่า” ของภาคเหนือมาสร้างงานร่วมกัน
แม้งานส่วนใหญ่จะจำลองหรือได้แนวทางมาจากหลากหลายที่ แต่พระครูบามนตรีท่านได้นำมาประยุกต์เข้าไว้ด้วยกันอย่างผสมกลมกลืน ลงตัวสวยงาม ออกมาเป็นงานพุทธศิลป์ในระดับสุดยอดของเมืองไทยเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นผลงานหลายชิ้น สิ่งก่อสร้างหลายอย่าง พระครูบามนตรีท่านได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ทั้งการแกะสลัก ปั้นปูน ฯลฯ รวมไปถึงการออกแบบที่เขียนแบบงานกันอย่างสดๆ ชนิดที่ไม่ต้องมีแบบร่างแต่อย่างใด
เมื่อรับรู้ที่มาที่ไปคร่าวๆ ของวัดแห่งนี้แล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาชมสิ่งน่าสนใจมากมายในเขตโบสถ์ โดยมีพระครูบามนตรีเป็นผู้นำชมและเล่าความเป็นมาของงานชิ้นต่างๆ พร้อมอธิบายปริศนาธรรมที่แอบแฝงอยู่ในงานจำนวนมากด้วยตัวท่านเอง ซึ่งนี่คือโชคดีความอย่างล้นเหลือเป็นครั้งที่ 2 ของ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”
พระบรมธาตุ 30 ทัส ตั้งโดดเด่นสวยสง่าในเขตพื้นที่โบสถ์
พระบรมธาตุ 30 ทัส
สำหรับจุดเด่นระดับไฮไลท์ของวัดจุดแรกที่พระครูบามนตรีนำชมก็คือ พระบรมธาตุ 30 ทัส ที่เจดีย์องค์ประธานและเจดีย์รายรอบหุ้มทองจังโก้สีทองเหลืออร่ามงดงามนัก
พระครูบามนตรีบอกเราว่า พระบรมธาตุ 30 ทัส เป็นศิลปะเชียงแสนยุคต้น จำลองมาจากวัดพระธาตุนอ (หน่อ) แห่งแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน องค์พระธาตุมี 8 เหลี่ยม แทนมรรค 8 และมี 3 ชั้น แทน 3 ภพ คือ นรก-โลก-สวรรค์ ส่วนฐานขององค์พระธาตุมีช้างรองรับโดยรอบ 32 ตัว ซึ่งท่านได้จำลองช้างเหล่านี้มาจากวัดช้างต่างๆ อาทิ วัดช้างค้ำ จังหวัดน่าน วัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น
จากนั้นพระครูบามนตรีได้พาชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ รอบโบสถ์ ซึ่งที่เด่นๆ ก็มี ตัวมอมสัตว์ในตำนานล้านนารูปร่างคล้ายแมวผสมสิงโต ที่สามารถปั้นได้อย่างมีชีวิตชีวาดูทีเล่นทีจริง พระพุทธรูปตามทางเดินบนระเบียงคต ศิลปะเชียงรุ้งอันเหลืองทองงามอร่ามตา ใบเสมาที่รูปทรงเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
“ยักษ์ตื่น” หน้าปากประตูทางเข้าโบสถ์
ที่สื่อสัญลักษณ์ถึงความไม่ประมาท-การตื่นตัว
“ยักษ์หลับ” หน้าปากประตูทางเข้าโบสถ์
ที่สื่อสัญลักษณ์ถึงความประมาท-ขี้เกียจ
ซุ้มประตูโบสถ์มองเข้าไปเห็นพระพุทธชินเรศนวราชบพิตร
พระประธานในโบสถ์ ประดิษฐานอย่างสวยงาม
พระพุทธชินเรศนวราชบพิตร
หลังชื่นชมปนอมยิ้มกับแนวคิดแฝงปริศนาธรรมของยักษ์หลับยักษ์ตื่น เราก็ตามท่านพระครูบามนตรีเข้าสู่ภายในโบสถ์หลังงามที่ได้รวบรวมสุดยอดศิลปกรรมล้านนากว่า 10 วัด มาสร้างเป็นโบสถ์งามหลังนี้ ในขณะที่ภายในโบสถ์นั้นประดิษฐานพระประธานคือ “พระพุทธชินเรศนวราชบพิตร” (นามพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ) ที่จำลองแบบมาจากพระพุทธชินราช อย่างงดงามวิจิตรดูเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธา
ส่วนจิตรกรรมฝาผนังนั้นเล่าก็งดงามประณีตด้วยเรื่องราวนิทานชาดกพื้นบ้านและภาพไตรภูมิ ซึ่งนอกเหนือจากนี้ในโบสถ์ยังมีสิ่งชวนชมอีกมากมาย อาทิ งานไม้แกะสลักเกี่ยวกับพุทธชาดก พระแก้วมรกตจำลอง และบุษบกทรงสวยงาม เป็นต้น เรียกว่าถ้าใครเมื่อมาวัดแห่งนี้แล้วรับรองไม่ผิดหวังในความงามที่ได้พบเจอ นอกจากนี้ในงานพุทธศิลป์ส่วนใหญ่ยังแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมที่เป็นดังเครื่องเตือนใจปุถุชนคนทั่วไป ซึ่งท่านพระครูบามนตรีได้เล่าให้ฟังที่เหตุของการสร้างวัดพระธาตุสุโทนว่า
“ทุกวันนี้โรงพยาบาลทางโรคมีมาก แต่โรงพยาบาลทางใจมีน้อยมาก การสร้างวัดให้สวยงามสง่า ถือเป็นโรงพยาบาลรักษาโรคทางใจอย่างหนึ่ง เพราะอาตมาใช้ศิลปะเป็นหนึ่งในเครื่องกระตุ้นคนเข้าวัด เมื่อคนเข้าวัดก็จะได้ศึกษาเรียนรู้ธรรม แถมยังได้อิ่มเอิบใจจากงานศิลปะกลับไปด้วย”
พระครูบามนตรีอธิบายให้ฟังก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ชาวพุทธอย่าเข้าวัดเพราะติดพระ อย่าเข้าวัดเพื่อหาวัตถุมงคลของขลัง แต่จงเข้าวัดเพื่อหาธรรมมะ ความขลังไม่ได้อยู่ที่ตัวพระ แต่อยู่ที่ธรรมมะของพระพุทธเจ้า สาธุ
จิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวชาดกพื้นบ้านและภาพไตรภูมิ
[COLOR="RoyalBlue"]“วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีสามัคคีธรรม” หรือ “วัดพระธาตุสุโทน” บ้านห้วยพริก หมู่ที่ 5 ต.เด่นชัย อ.เด่นชัย จ.แพร่ อยู่ริม ถ.หมายเลข 101 (เด่นชัย-ลำปาง) ห่างจากแยกเด่นชัยประมาณ 5 กม. (ใกล้ๆ กับค่ายทหาร ม.พันสิบสองหรือค่ายพญาไชยบูรณ์) เป็นวัดบนเนินของดอยม่อนโทน มีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่
นอกเหนือจากงานพุทธศิลปะที่กล่าวมาแล้ว วัดพระธาตุสุโทนยังมีสิ่งชวนชมอย่าง พระธาตุพนม (นครพนม) จำลอง (อนาคตจะสร้างพระธาตุประจำปีเกิด (จำลอง) ทั้ง 12 ราศีที่นี่) พระธาตุช้างค้ำ (น่าน) จำลอง, ศาลาหลวงพ่อเกษม เขมโก, วิหารพระมหาเมียะมุนี, วิหารพระเจ้าเก้าตื้อ, อนุสรณ์สถานทหารกล้า, หอระฆัง (จำลองจากวัดพระธาตุหริภุญชัย : ลำพูน), หอไตร (จำลองจากวัดพระสิงห์ : เชียงใหม่) ฯลฯ
วัดพระธาตุสุโทน เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลาประมาณ 09.00-16.00 นาฬิกา ไม่เก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-5353-0138 [/COLOR]
รูปหล่อบูรพาจารย์ครูบา
รูปหล่อครูบาศรีวิชัย
พระประธานในวิหาร
วัดสระบ่อแก้ว (วัดจองกลาง) อ.เมือง จ.แพร่
ไหว้พระประธาน ๗๗ จังหวัด
พระเจ้านั่งดิน
พระประธานในวิหาร วัดศรีดอก
ต.หัวฝาย อ.สูงเม่น จ.แพร่
“วัดศรีดอก” ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ ๓ ต.หัวฝาย อ.สูงเม่น จ.แพร่
ถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดแพร่
ปัจจุบันนี้มี พระอธิการสมบูรณ์ ประภากโร เป็นเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสวัดศรีดอกได้เล่าถึงความเป็นมาของวัดศรีดอกและพระเจ้านั่งดิน ดังนี้
วัดศรีดอก ไม่ได้มีการบันทึกประวัติไว้แต่มีการเล่าสืบกันต่อมา
จนถึงวันนี้ก็ไม่สามารถหาหลักฐานพบได้ แต่มีตำนานเล่ากันมาว่า
ณ กาลครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาทางทิศใต้
พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จประทับใต้ต้นโพธิ์
ในขณะนั้นก็ได้มีพวกลัวะพวกแจ๊ะได้มาหาปลาตามหนองแห่งนี้
จึงได้มาพบพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าและสงสัยว่าเป็นยักษ์
เพราะไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้ามาก่อน
ก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง
พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรียกให้กลับคืนมาว่า เราไม่ใช่ยักษ์เราเป็นพระตถาคต
พวกลัวะพวกแจ๊ะบางพวกก็เชื่อ บางพวกก็ไม่เชื่อ
พวกที่เชื่อก็กลับมา พวกที่ไม่เชื่อก็ไม่กลับ บ้างก็กล้าๆ กลัวๆ
พวกที่ยังไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าจึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ดู
โดยทำให้ต้นโพธิ์ (ต้นศรี) บานดอกมีกลิ่นหอมตลบไปทั่ว มีสีที่สวยงามมาก
พวกลัวะพวกแจ๊ะได้เห็นแล้วก็พากันไปบอกพวกที่ยังอยู่บ้านให้ทราบ
ก็พากันมาดูพระพุทธเจ้าและดอกโพธิ์ (ดอกศรี) บาน
พากันหมดทั้งบ้าน เลยละทิ้งฆ้อง (ละฆ้อง) ไว้ที่บ้าน
สถานแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ร่องละฆ้อง จนตราบเท่าทุกวันนี้
พวกลัวะพวกแจ๊ะได้รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าคนวิเศษ ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส
พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า สถานแห่งนี้ต่อไปในภาคหน้าจะมีผู้มาสร้างรูปพระตถาคตไว้
ณ ที่นี่ ซึ่งเป็นป่าดงดิบหนาทึบ มีสัตว์ร้ายต่างๆ มากมาย
เวลาต่อมาก็มีพวกม่านพวกเงี้ยวได้มาสร้าง พระพุทธรูปขึ้นมาองค์หนึ่ง
ไว้ในป่าแห่งนี้ และได้สร้าง วิหาร ขึ้นหลังหนึ่งเล็กๆ
ซึ่งทำด้วยไม้ซาง (ไม่ไผ่) ทำเป็นฝาและเพดาน หลังคามุงด้วยหญ้าคา
พอได้อาศัยทำพิธีกรรมทางศาสนาในสมัยนั้นทิ้งไว้ในป่า
บางครั้งก็มีเสือได้มาอาศัยอยู่หลับนอนในวิหารหลังนี้เป็นประจำ
ลำดับต่อมาก็มีผู้คนมาสร้างบ้านเรือนอยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา
จึงได้มี ประเพณีจุดบ้องไฟเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
ขอน้ำฟ้าน้ำฝนในเดือน ๙ เหนือ แรม ๑๔ ค่ำ (เดือน ๙ ดับ)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
ในครั้งหนึ่ง สมเด็จพระวันรัตน (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
(ซึ่งต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
ได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมเยือนวัดศรีดอก จ.แพร่
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๔
สมเด็จพระวันรัตน (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เห็นว่า
พระพุทธรูปองค์นี้แปลกกว่าพระพุทธรูปองค์ใดในประเทศไทย
เพราะว่าประดิษฐานต่ำ นั่งกับพื้นดิน
สมเด็จพระวันรัตน จึงให้นามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า
“พระพุทธรูปนั่งดิน” ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ สมเด็จพระวันรัตน ได้กำชับกับคณะศรัทธาวัดศรีดอก
ห้ามโยกย้ายและยกฐานสูงกว่าเดิมเป็นอันขาด
จนถึงปัจจุบันนี้ยังอยู่ในลักษณะเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“พระเจ้านั่งดิน” วัดศรีดอก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองสัมฤทธิ์
มีขนาดหน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว สูง ๒ เมตร ปางสมาธิ
ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามมากอีกองค์หนึ่งในจังหวัดแพร่
ภายในบริเวณวัดศรีดอกนอกจากจะมีของดีๆ และวิเศษมายมาย
อาทิเช่น มี พระธาตุวิหาร หลังปัจจุบัน เป็นต้นแล้ว
ยังมีบ่อน้ำซึ่งภายในมีฆ้องทองคำลูกหนึ่งเสียงไพเราะมาก
และมีลูกแก้ววิเศษอีกลูกหนึ่ง วันดีคืนดี ยามดีจะออกมาปรากฏให้เห็น
มีแสงสีคล้ายกับหลอดนีออนสวยงามมาก
นอกจากนี้บริเวณรอบๆ วัดศรีดอกทั้ง ๔ ด้านมีต้นตาล โดย ครูบามหาเถร
หรือครูบากัญจนอรัญวาสีมหาเถร วัดสูงเม่น อ.สูงเม่น จ.แพร่ ได้นำมาปลูกไว้
และมีต้นลั่นทม (จำปาลาว) ที่มีอายุนับ ๑๐๐ กว่าปี
ซึ่งพ่อเจ้าคำลือ พ่อของแม่เจ้าคำป้อ ได้นำใส่หลังช้างมาจากตัวเมืองแพร่มาปลูก
ต้นไม้เหล่านี้ไม่มีใครที่จะกล้าตัด เนื่องจากผู้ปลูกได้สาปแช่งเอาไว้
จึงพบว่าภายในวัดศรีดอก มีต้นไม้ใหญ่ต้นโพธิ์ (ต้นศรี) และต้นไม้ใหญ่
ดำรงคงอยู่คู่กับวัด คอยให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยี่ยมเยือนวัดไปตราบนานเท่านาน
เครดิต : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=20223
http://www.baanmaha.com/community/newthread.php?do=newthread&f=35
Bookmarks