สวัสดีครับพี่น้องหลังจากผมหายหน้า หายตาไปจากบ้านมหา แต่ว่าหัวใจดวงน้อยๆๆกะยัง
คิดฮอดบ้านมหาคือเก่า ด้วยภาระงาน ภาระครอบครัว ทำให้ต้องต่อสู้กับชีวิตที่แห้งแล้งกันดาร ในที่ราบสูงยโสธร ถิ่นภูกลอย หาแย้ หากระปอม มาเลี้ยงปากพี่น้องและครอบครัวของผมเอง ผมกะได้รับกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน มันกำลังเข้ามาทำลายชีวิตมนุษย์ชาวอีสาน โตน้อยๆๆอย่างผม ทำให้ต้องต้อสู้กับแดดฮ้อนเปรี้ยงๆๆ
ทำลายผิวหนังอันบอบบางของผม จนสีผิวของผมดำกร้าน เป็นฮอยตะกะ ตีนอตกเขิบ
ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องทนกับธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
เวลาผมไปหาอาหารผมแทบสิบ่ใส่เกิบเพราะตีนผมด้านมันด้าน หยาบฮ้ายกว่าหนังงัวเฒ่าพะนะ สิ่งที่เว้ามาเป็นเรื่องของธรรมชาติ และสิ่งที่ผมต้องเผชิญอีกอย่างคือความแห้งแล้งของจิตใจมนุษย์ชาวอีสาน ที่ตั้งแต่เก่าก่อนคนอีสาน เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่อยกันทำมาหากิน เป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน พ่อแม่สอนไว้ว่า "ถ้าป้าเอาป่นมาให้ เวลาเอาถ้วยไปคืนป้าต้องบ่ล้างถ้วยเผิ่น" นั่นหมายถึง คำสอนหรือ กุศโลบาย ของพ่อแม่คนโบราณ เผิ่นสอนไว้ว่า ถ้าป้าลุงเอาของมาให้ต้อง มีของตอบแทนป้าลุง บ่ได้หมายความว่าล้างถ้วยป่นลุง นี่คือความประทับใจที่พ่อแม่สอนผมไว้แต่โบราณ สังคมสู่มื้อนี้บ่มีการส่งป่น แกง กันคือเก่า ได้กบ ได้ปลามา ใส่ถุงเอาะเจาะ หาเลาะขาย ตามหมู่บ้าน บ่มีว่าสิให้กินฟรีๆๆ หรือเกิดการแลกเปลี่ยนกัน คือสมัยก่อน พ่อแม่เคยถามผมว่า ได้ปลาข่อใหญ่ เฮ็ดหยังจังสิได้กินหลาย ผมกะตอบเผิ่นว่า ต้มและใส่น้ำหลายๆๆ
พ่อบอกว่า บ่แม่น อยากกินหลาย ต้ม หรือ แกง แล้วต้องปันพี่ปันน้อง เพราะ เวลาเผิ่นมีแนวกินเผิ่นกะสิส่งเฮาคืน เฮาได้กินหลายแนว อย่าให้ความแห้งแล้งเข้ามาสู่จิตใจชาวอีสาน อีกต่อไป สังคมเฮาต้องเป็น สังคมแห่งการแบ่งปัน เอาไว้ส่ำนี้ก่อนฟ้าวไปใส่เบ็ด .................เล็กๆๆ น้อยๆๆ จากทีมงานคุณภาพ............