ลันเตา หรือ ถั่วลันเตา เป็นผักที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี เพาะมีการเพาะปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารมานานหลายพันปีแล้ว โดยเชื่อว่าถั่วลันเตาเดิมทีแล้วเป็นถั่วป่ามีถิ่นกำเนิดแถวเอเชียตอนกลาง หรือบางทีอาจเป็นอินเดีย และนักวิชาการให้การยอมรับว่าสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในแถบชายแดนไทยพม่านี่เอง เพราะมีหลักฐานย้อนกลับไปถึงกว่าหนึ่งหมื่นปี[7]
ชื่อของถั่วลันเตามาจากภาษาจีนที่เรียกว่า “ห่อหลั่นเตา” ซึ่งหมายถึงฮอลแลนด์ ส่วนคำว่า “เตา” ในภาษาจีนก็แปลว่าถั่ว สรุปถั่วลันเตาก็คือถั่วที่มาจากฮอลแลนด์ โดยจัดเป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่อาหารจีนประเภทผัดผักจะขาดเสียไม่ได้[1]
ลักษณะถั่วลันเตา
ต้นถั่วลันเตา จัดเป็นพืชผักที่มีเถาเลื้อย มีความสูงได้ถึง 2 เมตร เป็นพืชฤดูเดียว ลำต้นเล็กและเป็นเหลี่ยม ส่วนรากเป็นระบบรากแก้ว สามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนปนเหนียว และควรเป็นดินที่ค่อนข้างมีความเป็นกรดเล็กน้อย เป็นพืชที่ชอบอากาศเย็นจึงปลูกได้ดีในช่วงฤดูหนาว และโดยถั่วลันเตามีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นพันธุ์ฝักเหนียว มีเมล็ดโต นิยมปลูกไว้เพื่อรับประทานเมล็ด ส่วนอีกประเภทจะปลูกไว้เพื่อรับประทานเฉพาะฝักสด โดยฝักจะมีขนาดใหญ่และมีปีก ส่วนอายุการเก็บเกี่ยวแต่ละสายพันธุ์ก็ไม่เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะเก็บเกี่ยวหลังการเพาะปลูกประมาณ 2-3 เดือน โดยสายพันธุ์ที่ส่งเสริมให้ปลูกในประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์แม่โจ้1 พันธุ์แม่โจ้2 และพันธุ์ฝางเบอร์7[1] การปลูกถั่วลันเตา จะนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด[4]
ต้นถั่วลันเตา
ใบถั่วลันเตา เป็นใบแบบสลับ ใบมีสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้ม ปลายใบเปลี่ยนเป็นมือเกาะเลื้อย บางสายพันธุ์อาจมีเฉพาะมือเกาะ หรือบางสายพันธุ์ก็อาจมีเฉพาะใบ[1]
ใบถั่วลันเตา
ดอกถั่วลันเตา ดอกเป็นแบบดอกสมบูรณ์เพศ ผสมตัวเอง ดอกมีทั้งสีขาว และสีม่วง แล้วแต่สายพันธุ์[1]
ดอกถั่วฝักยาว
ฝักถั่วลันเตา ลักษณะคล้ายถั่วแปบ ฝักยาวรีมีสีเขียวสด ภายในฝักมีเมล็ดลักษณะกลมสีเขียวอยู่ประมาณ 2-4 เมล็ด หรือที่เรียกว่า “เมล็ดถั่วลันเตา“[4]
ฝักถั่วลันเตา ลักษณะถั่วลันเตา
เมล็ดถั่วลันเตา
เมล็ดถั่วลันเตา (ถั่วลันเตาชนิดกินเมล็ด)
คุณค่าทางโภชนาการของถั่วลันเตา ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 81 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 14.45 กรัม
น้ำตาล 5.67 กรัม
เส้นใย 5.1 กรัมถั่วลันเตาแบบกินเมล็ด
ไขมัน 0.4 กรัม
โปรตีน 5.42 กรัม
วิตามินเอ 38 ไมโครกรัม 5%
เบต้าแคโรทีน 449 ไมโครกรัม 4%
ลูทีน และ ซีแซนทีน 2,477 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.266 มิลลิกรัม 23%
วิตามินบี2 0.132 มิลลิกรัม 11%
วิตามินบี3 2.09 มิลลิกรัม 14%
วิตามินบี6 0.169 มิลลิกรัม 13%
วิตามินบี9 65 ไมโครกรัม 16%
วิตามินซี 40 มิลลิกรัม 48%
วิตามินอี 0.13 มิลลิกรัม 1%
วิตามินเค 24.8 ไมโครกรัม 24%
ธาตุแคลเซียม 25 มิลลิกรัม 3%
ธาตุเหล็ก 1.47 มิลลิกรัม 11%
ธาตุแมกนีเซียม 33 มิลลิกรัม 9%
ธาตุแมงกานีส 0.41 มิลลิกรัม 20%
ธาตุฟอสฟอรัส 108 มิลลิกรัม 15%
ธาตุโพแทสเซียม 244 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 5 มิลลิกรัม 10%
ธาตุสังกะสี 1.24 มิลลิกรัม 13%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
สรรพคุณของถั่วลันเตา
ยอดของถั่วลันเตามีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยในการบำรุงสายตาและผิวพรรณ (ยอดถั่วลันเตา)[1]
ใช้บำบัดโรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรรับประทานเป็นประจำ[3] ด้วยการใช้ฝักอ่อนสดนำมาล้างน้ำให้สะอาดและนำไปต้มจนสุก แล้วนำมารับประทานเป็นจำ[5]
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด[8]
ถั่วลันเตา สรรพคุณของเมล็ดช่วยบำรุงไขมัน (เมล็ด)[8]
ถั่วลันเตาอุดมไปด้วยวิตามินบี วิตามินบี12 และสารเลซิทิน (Lecithin) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทมาก จึงช่วยป้องกันอาการขี้หลงขี้ลืมได้[6]
ช่วยรักษาโรคหัวใจ ด้วยการใช้ฝักถั่วลันเตาทั้งฝักที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำไปคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งแก้ว ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้าและเย็น[5]
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการใช้ฝักถั่วลันเตาทั้งฝักที่ล้างน้ำสะอาดแล้ว นำไปคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งแก้ว ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้าและเย็น[3],[5]
ถั่วลันเตาเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยละลายลิ่มเลือด เนื่องจากผู้ป่วยบางท่านได้ดื่มน้ำถั่วลันเตาแล้วมีอาการดีขึ้น เป็นความรู้ที่เล่าต่อกันมา และยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด[7]
ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน (ยอดถั่วลันเตา)[1]
ช่วยขับของเหลวในร่างกาย[3]
สรรพคุณถั่วลันเตา ช่วยแก้อาการปัสสาวะขัด[3]
คนโบราณมักใช้เถาถั่วลันเตามาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เข้าเครื่องยาเพื่อรักษาโรคตับพิการ รักษาโรคตับทรุด ตับติดเชื้อ อาการผิดปกติในตับ และช่วยบำรุงตับ โดยนิยมใช้กับเถาลิ้นเสือ (เถา)[4],[5],[7],[8] นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยซักตับหรือทำให้ตับสะอาดและแข็งแรง (เถา,เมล็ด)[8] ส่วนฝักถั่วลันเตาก็มีฤทธิ์บำรุงตับด้วยเช่นกัน (ฝัก)[7]
ช่วยถอนพิษ[1]
ช่วยแก้เป็นตะคริว อาการเหน็บชา[3]
ช่วยบำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด)[8]
ช่วยเพิ่มน้ำนมของสตรี[3]
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของถั่วลันเตา ได้แก่ มีฤทธิ์เป็นยาคุมกำเนิด ช่วยยับยั้งคอหอยพอก ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และลดความดันโลหิตสูง[8]
รูปถั่วลันเตา
ถั่วลันเตาชนิดกินเมล็ด
ประโยชน์ของถั่วลันเตา
ประโยชน์ถั่วลันเตา ถั่วลันเตามีเส้นใยอาหารอยู่มาก จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี[1]
ถั่วลันเตานอกจากจะมีเส้นใยอาหารสูงแล้ว ยังมีไขมันต่ำ และอยู่ในรูปของไขมันไม่อิ่มตัว การรับประทานเป็นประจำ จึงไม่มีผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใด[7]
ถั่วลันเตาเป็นอาหารที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เพราะถั่วชนิดนี้มีโซเดียมเพียง 5% ของปริมาณสูงสุดที่สามารถบริโภคได้ต่อวัน ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ ดังนั้นมันจึงเป็นถั่วที่ถูกโฉลกกับผู้ที่เป็นโรคความดันสูง[7]
ถั่วลันเตามีโปรตีนสูงกว่าพืชผักทั่วไป มีทั้งแป้ง และน้ำตาล ทำให้มีความหวานน่ารับประทาน พ่อแม่อาจริเริ่มให้ลูกรักการรับประทานผักได้ด้วยการผักถั่วลันเตาอ่อนๆ ให้ลองชิมก่อน เด็กอาจจะชอบเพราะความหวาน และยังเป็นการปลูกฝังนิสัยการรับประทานผักให้เด็กได้เป็นอย่างดี[7]
สำหรับบางคนอาจใช้น้ำถั่วลันเตาเพื่อเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางด้านโภชนาการ หรือขาดสารอาหาร ผอมแห้ง รวมไปถึงเด็กที่มีอาการท้องเสียเรื้อรัง อุจจาระมีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาเป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นหืนและค่อนข้างเหนียว[7]
ถั่วลันเตาหรือซุปถั่วลันเตา สามารถช่วยให้อาการทุเลาลงหรือหายไปได้ เพราะส่วนกากที่ผสมอยู๋ในน้ำถั่วลันเตานั้น จะช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารช่วยจับสารพิษก่อโรคต่างๆ และช่วยเพิ่มการดูดซึมอาหารให้ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาอาการของโรคไอบีเอส (Irritable Bowel Syndrome) หรือโรคลำไส้หงุดหงิด เมื่อดื่มน้ำปั่นถั่วลันเตาแล้วอาการจะดีขึ้นมาก แต่ต้องเป็นน้ำถั่วลันเตาที่นำไปต้ม แล้วเสิร์ฟแบบอุ่นๆ พร้อมทั้งเติมผลกระวานและขิงเข้าไปด้วยพอให้ออกรสร้อน[7]
ถั่วลันเตาประเภทกินเมล็ดเป็นผักที่นิยมใช้ในอาหารจีนประเภทผัดผัก ผัดถั่วลันเตา หรือนำไปต้ม ทำไข่ยัดไส้ แกงจืดใส่หมู ข้าวผัดอเมริกัน ใช้เป็นส่วนประกอบในเบเกอรี่ อย่างเช่น พิซซ่า แซนวิส ไส้ขนมปัง หรือใช้เป็นเครื่องเคียงในเสต็ก ฯลฯ[1]
ส่วนถั่วลันเตาประเภทกินฝัก เราจะใช้ฝักถั่วที่ยังอ่อนอยู่นำมาใช้ปรุงอาหาร ด้วยการนำไปผักกับหมูหรือกุ้ง ผัดน้ำมันหอย ผัดผักรวมมิตร ใช้ลวกจิ้มกินกับน้ำพริก ทำเป็นแกงแคร่วมกับผักต่างๆ แกงเลียง แกงส้ม หรือทำแกงจืดหมูสับ เป็นต้น ส่วนฝักแก่ก็นำมาปลอกแยกเอาแต่เมล็ดมารับประทานเป็นผัก[1]
เรามักนิยมใช้ยอดของต้นถั่วลันเตาพันธุ์กินยอดมาใช้ปรุงอาหาร และยังให้โปรตีนมากกว่าผักทั่วๆ ไป หากนำมาใช้ผัดจะมีรสหวานและกรอบแต่ควรผัดด้วยไฟแรงอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้คุณค่าทางอาหารสูญหายไปมากนัก[1]
เมล็ดถั่วลันเตา สามารถนำไปต้มดอง หรือทำเป็นถั่วกระป๋องขาย[4]
ใช้แปรรูปเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำเป็นผักแช่แข็ง นำไปต้ม คั่ว หรืออบกรอบกับเกลือเป็นขนมขบเคี้ยวก็ได้ ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยกัน[1]
ถั่วลันเตาแบบกินฝัก
ถั่วลันเตาชนิดกินฝัก
คำแนะนำในการรับประทานถั่วลันเตา
ถั่วลันเตาเป็นถั่วที่มีสารพิวรีน (Purine) ปานกลาง ดังนั้นผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติ ควรลดปริมาณการรับประทานถั่วลันเตาลงเพราะสารพิวรีนจะทำให้การขับถ่ายกรดยูริกทางปัสสาวะลดลง ส่งผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ และโรคเกาต์ได้[2]
ถั่วลันเตาเป็นหนึ่งในผักที่มักมีสารปนเปื้อนหรือยาฆ่าแลงผสมอยู่ ดังนั้นก่อนการนำมาปรุงอาหารควรล้างให้สะอาดเสียก่อน[2] ด้วยการนำฝักถั่วมาล้างให้สะอาดหลายๆ น้ำ และการล้างผักที่ดีควรแช่ไว้ในน้ำให้ไหลรินสักช่วงเวลาหนึ่ง[7]
การเลือกซื้อถั่วลันเตา ควรเลือกฝักที่สดหักแล้วดังเป๊าะ ถ้าหนังเหี่ยวเหนียงยาน ยอมงอไม่ยอมหัก แบบนี้ไม่ควรซื้อมาผัดกิน เมื่อซื้อถั่วลันเตาจากตลาดมาแล้วก็ให้รับนำไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วแช่ไว้ในตู้เย็นทันทีเพื่อคงความสด เพราะถ้าหากทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องเพียงแค่ 3 ชั่วโมง ก็จะทำให้ความหวานและความกรอบลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด[7]
แหล่งอ้างอิง
กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร (เกตุอร ทองเครือ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agrimedia.agritech.doae.go.th. [20 ต.ค. 2013].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). ”ปฏิรูปอาหารปลอดภัย”, “ยูริกในร่างกายสูงเสี่ยงหูมีปัญหา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [20 ต.ค. 2013].
ชีวจิต. อ้างอิงใน: นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 208 (1 มิ.ย. 2550). ”มหัศจรรย์พลังของถั่ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cheewajit.com. [20 ต.ค. 2013].
สมุนไพรดอทคอม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.samunpri.com. [20 ต.ค. 2013].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร (วันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2546). ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. ”พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยา ตอนถั่วพูและถั่วลันเตา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [20 ต.ค. 2013].
6.Oknation. ”อยากฉลาดต้องถั่วลันเตา”. อ้างอิงใน: นิตยสาร Spicy. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.oknation.net. [20 ต.ค. 2013].
สมาคมหมออนามัย. อ้างอิงใน: เภสัชโภชนา (ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์). ”น้ำถั่วลันเตา ละลายลิ่มเลือด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.mohanamai.com. [20 ต.ค. 2013].
GotoKnow. ”ถั่วลันเตาผัดน้ำมันมะพร้าวแครอท เมล็ดและเถา สมุนไพรเป็นยา ซักตับ แก้ตับทรุด ตับพิการ บำรุงเส้นเอ็น ลดคอเลสเตอรอล”. อ้างอิงใน: หนังสือเภสัชกรรมไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด (ภก.จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [20 ต.ค. 2013].
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ flickr.com (by smalla, joeysplanting, HITSCHKO,andreasbalzer, naturgucker.de, Jan-Tore Egge, Eric Hunt., horticultural art, 阿橋花譜 KHQ Flowers)
บทความนี้ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นโดยเว็บไซต์ กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม
ฟาร์มดี(ฟาร์มใส้เดือนคนพิการ)
Bookmarks