"ทองหยิน เจ๊กบ้า"
"ทองหยิน เจ๊กบ้า"



"ทองหยิน เจ๊กบ้า"

....หมอดูทำนาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่าจะได้ครองราชย์

สุภาพบุรุษวัยหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างเล็กแบบบาง หนวดแหย็มประทับเหนือริมฝีปากประปราย หลังจากเบรครถฟอร์ดรุ่นปี ๑๙๑๐ เมื่อเกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว เทียบสนิทตรงสี่แยกวัดตึก ก็เร่งดำเนินดุ่มเข้าไปในสำนักโหรมีชื่อของประเทศไทย ในสมัยนั้นอันมีนามที่เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า "จีนทองหยิน"

จีนทองหยินผู้นี้ใช่แต่ว่าจะเป็นที่ขึ้นในการตรวจทำนายปูมชะตาของผู้มีบรรดาศักดิ์อัครฐานชนชั้นกลางในครั้งกระนั้นแล้ว แม้แต่เจ้านายเชื้อพระวงศ์จากเวียงวังต่างก็พากันยกย่องนิยมนับถือโหรจีนผู้นี้อยู่ และดังนั้นจึงไม่เป็นการแปลกปลาดอะไรที่โหรทองหยินจะได้ต้อนรับอาคันทุกะสุภาพบุรุษผู้ซึ่งโหรทองหยินไม่เคยประสบพบพานหน้าค่าตามาแต่ก่อน แต่ก็เขม้นหมายว่าต้องอยู่ในตระกูลสูงอย่างแน่ชัด

สุภาพบุรุษซึ่งเป็นอาคันตุกะของโหรจีนผู้ลือชื่อก็เร่งให้ทำนายทายทักตามแบบวิธีการของโหรจีนผู้นี้ ซึ่งแทนที่จะลงเลขคูณหารตรวจปูมชะตาบนกระดานของโหรเหมือนโหรทั้งหลาย แต่กลับเพียงแต่สอบถามวันเดือนปีเกิดซึ่งอาคันตุกะสุภาพบุรุษผู้นั้นตอบเรียบๆว่า "วันพุธ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง"

โหรทองหยินเพ่งอยู่ฉะเพาะดวงหน้าเขาอยู่ขณะหนึ่ง พลางบอกให้ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา โหรเอกมองดูท่าทางกิริยาวิธีการเดินของเขาอย่างสนใจ และในทันทีที่สุภาพบุรุษเจ้าของดวงชาตาทรุดตัวลงตามเดิม ฉับพลันนั้นโหรเอกก็เบิกตาโพลง ตลึงและงงงวย เขาลอดสายตาเพ่งออกมานอกแว่น จรดจ้องอยู่กับดวงหน้าของอาคันตุกะแปลกหน้า ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นมาเลยนับแต่มาเหยียบเมืองไทย เหมือนกับจะไม่เชื่อตัวเองว่า สุภาพบุรุษที่นั่งอยู่เฉพาะหน้าตนนั้น จะมีดวงชาตากำเนิดสูงละลิ่วอย่างเทพเจ้าที่จุติลงมาเพื่อปกครองแผ่นดินไทย เพื่อเป็นเจ้าชีวิตของคนไทยทั้งชาตินี้ พลางระล่ำระลัก "วาสนาลื้อสูงมาก ลื้อจะ ได้ เป็น กษัตริย์--"

น้ำเสียงเขาขาดเป็นห้วงๆ และเน้นคำว่ากษัตริย์ พร้อมกับสำทับซ้ำ "ลื้อจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองเมืองนี้" ทันทีก็ทรุดตัวลงเบื้องล่าง ยกมือขึ้นประณมสาธุการสุภาพบุรุษผู้นั้นด้วยศรัทธาแก่กล้าในบารมี ชายสุภาพบุรุษอาคันตุกะเพ่งดูใบหน้าสวนสายตาของทองหยินออกไป พลางหัวเราะอยู่ในลำคอ เป็นการหัวเราะที่แสดงความขบขันคล้ายๆกับจะตั้งคำถามตัวเองว่า "นี่น่ะหรือ ทองหยิน โหรเอกที่คนเลื่องลือกันทั้งเมือง นี่น่ะหรือที่ใครๆ โจษจันกันว่าทำนายทายทักปูมชะตาแม่นยำนัก"

แล้วก็หัวเราะ--หัวเราะให้กับอาการอันงกงันสั่นเทาของทองหยินอีกครั้ง แล้วชำระค่าตอบแทนเมื่ออำลาจากทองหยิน กลับออกไปสตาร์ทฟอร์ดสมัยโบราณคร่ำครึแต่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น พรืดออกไป

สุภาพบุรุษในฟอร์ดคันนั้นไม่ได้เหลียวกลับมาที่สำนักโหรเอกทองหยินอีก จึงไม่มีโอกาสทราบว่าทองหยินได้พาร่างอันสั่นเทาของเขาออกมาคะเย้อคะแยงแง้มประตูห้องแถวเก่าๆ ตรงสี่แยกมองตามฟอร์ดนั้นจนกระทั่งลับสายตาไปในท่ามกลางความมืดมนร้อยแปดวุ่นวายสับสนอลหม่านของทองหยินว่า อาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยียนนี้ และมีดวงดาวชาตากำเนิดรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าคนที่เคยดูมาตลอดชีวิตของความเป็นโหรนี้คือใคร?

ระยะเวลาที่ว่างจากเหตุการณ์ที่สี่แยกวัดตึกเมื่อครู่นี้ห่างกันไม่กี่นาทีนัก รถฟอร์ดคันนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดที่ชายสนามเทนนิส ณ วังบ้านดอกไม้ของเสด็จในกรมพระกำแพง ซึ่งกำลังสวิงกันด้วยลูกสักหลาดอย่างโชกโชน เหน็ดเหนื่อย แต่ทว่าเต็มไปด้วยรสชาติของความสนุกสนานปนเปไปในระหว่างเชื้อพระวงศ์ในครอบครัว และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกรมรถไฟที่เสด็จในกรมทรงเป็นผู้บัญชาการ

เสียงแจ๋วๆ ของสุภาพสตรีสาวร่างท้วม แจ่มใสและร่าเริงดังขึ้นทางฟากสนามโน้นพร้อมกับผลุดลุกขึ้น "ทูลหม่อมเล็ก เสด็จแล้ว!"

ในขณะที่สุภาพบุรุษเจ้าของรถฟอร์ดก้าวดำเนินลงมายังชุมนุมของแฟมมิลี่แห่งตระกูลฉัตรชัย องอาจสง่าผ่าเผย แม้จะมีสิริร่างที่อ่อนแอและบอบบาง แต่ด้วยท่าทางของนายร้อยโทแห่งกรมทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ ของพระเจ้ากรุงอังกฤษออลเดอชอดในอดีต แต่ปัจจุบันผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นคือ นายพันโท กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยทหารบกชั้นประถม พระอนุชาธิราชแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสุภาพสตรีร่างท้วมสุรเสียงใสนั้นคือ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระธิดาในกรมพระสวัสดิ์วัฒนวิสิษฎซึ่งโดยฐานันดรแห่งราชตระกูลก็คือระหว่าง "เจ้าพี่ เจ้วน้อง" และเป็นที่รู้กันว่าได้ทรงมีสายสัมพันธ์เสน่หากันอย่างรัดรึง

คำทำนายของโหรทองหยินยังก้องอยู่ในพระกรรณของนายพันโทเจ้าชายหนุ่ม เมื่อได้ทรงเล่าคำทำนายนั้น ในที่ประชุมแฟมมิลี่ของฉัตรชัย ก็ได้มีเสียงสรวลด้วยความขบขัน เพราะในขณะนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโดยลำดับการสืบสันติวงค์สืบจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องผ่านทูลกระหม่อมจักรพงค์ และทูลกระหม่อมอัษฎางค์อีกถึงสองพระองค์ ในแฟมมิลี่ของฉัตรชัย และนายพันโทจ้าวชายหนุ่มจึงทรงถือเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ เจ้าชายมีพระดำรัสสั้น เมื่อเสียงสำรวลในกลุ่มนั้นเงียบลงว่า "ทองหยิน เจ๊กบ้า"

เรื่อง "พระปกเกล้าฯ" นี้เป็นเรื่องหนึ่งที่รวมอยู่ในหนังสือเรื่องบุกบรมพิมาน โดย "แหลมสน" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สหกิจ, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์-หากสันนิษฐานได้ว่าราวๆ ปี ๒๔๙๒-๒๔๙๓

ภาพประกอบ : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็น หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ฯ) ฉายก่อนทรงอภิเษกสมรส



ขอบคุณข้อมูลจาก : www.oknation.net/blog/print.php?id=503281
: อ.มาศ:ซินแสฮวงจุ้ยไฮเทคระดับโลก-สถาบันวิชาการฮวงจุ้ย