หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123
กำลังแสดงผล 21 ถึง 24 จากทั้งหมด 24

หัวข้อ: ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ ปลูกเอง สีขายเอง

  1. #21
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ หนุ่มลาวสาวขะแมร์
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    ที่อยู่
    รังสิต
    กระทู้
    558


    คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เมื่อวันก่อนอ่านแล้วเข้ากับกระทู้ขออนุญาตนำมาวางครับ

    ในเนื้อหาชวนให้คนไทยมาทำธุรกิจกัน ใครคิดอะไรได้ทำเลยไม่ต้องรอ
    ใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์ให้เกิดประโยชน์ เฟสบุ๊ค เมลล์ ไลน์ เวบ ฯลฯ
    ศึกษาให้ดีแล้วลงมือทำ ไม่จำเป็นต้องเป็นนายทุน ใครๆ ก็ทำได้ประมาณนี้ ลองอ่านดูครับ



    แรกที่รองนายกฯม.ร.ว.ปรีดิยาธรเปิดตัวเศรษฐกิจดิจิตอลโดนใจคนมากมายเลยท่าน มั่นใจจะเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาธุรกิจทันยุคทันสมัยกับการแข่งขันทางการค้าที่นับวันรุนแรงแข็งกร้าว ผมคิดไปเองหรือเปล่าไม่ทราบผ่านไปพักใหญ่ยังดูเงียบๆ

    ถ้าเพราะอยู่ระหว่างขั้นตอนจัดตั้งเป็นกระทรวงดิจิตอลหรือกระทรวงเศรษฐกิจดิจิตอล ก็น่าเสียดาย กิจการบางอย่างควรทำได้เลยโดยไม่รอการชงแบบสำเร็จรูป

    ในเมื่อเป็นความคิดที่ดี และรู้อยู่กระบวนการตั้งกระทรวงใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ควรที่รัฐบาลจัดให้มีหน่วยงานเฉพาะเพื่อรับผิดชอบให้เศรษฐกิจดิจิตอลแจ้งเกิดพึ่งพาได้

    พูดคุยกับคนแวดวงธุรกิจและสื่อด้วยกันประเด็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หัวข้อฮิตก็พวกเราชาวไทยจะรับมือกับประชาคมใหม่กำลังจะเกิดอย่างไร มีวิธีทำมาหากินทำธุรกิจแบบไหนน่าสนใจและทำได้จริง หมายถึงระดับชาวบ้านไม่ใช่การลงทุนใหญ่ร้อยล้านพันล้าน

    ถูกครับ ทำอย่างไรให้พวกเราคนไทยสนใจทำธุรกิจของตัวเอง เป็นผู้ประกอบการเอง

    ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ จะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจไม่ใช่กิจกรรมใหญ่โตทุนสูงคนมากอีกต่อไป ผมอ่านหนังสือ “ความคิดมีค่ากว่าเงิน” แปลจาก “Brain vs Capital” ของกุนเทอร์ ฟัลติน ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันที่เทียวไปเทียวมาเมืองไทยเป็นประจำ อยากให้คนในรัฐบาลอ่านบ้าง วันนี้ “คิดเป็น” เป็นเจ้าของธุรกิจได้

    เรามักใช้คำเรียกว่า “เถ้าแก่” ซึ่งฟังดูยากใครจะเป็นได้ง่ายๆ เอาใหม่ครับ ลบคำเถ้าแก่ทิ้งไปเลยเปลี่ยนเป็นคนทำธุรกิจเลี้ยงชีพธรรมดาๆคนหนึ่ง รับจ้างตัวเอง กินเงินเดือนตัวเอง

    เล็กๆก็ทำได้ เพียงต้องมั่นใจโดยทำการบ้านมาอย่างดีลงมือปฏิบัติได้เลยผ่านช่องทางออนไลน์ สมมุติจะขายสบู่สูตรพิเศษ โรงงานรับจ้างผลิตมีอยู่ ทำฮี๋บห่อมีอยู่ จัดส่งสินค้ามีอยู่ รับทำบัญชีมีอยู่ ช่องทางเข้าถึงลูกค้ามีอยู่ ผู้ประกอบการยุคดิจิตอลนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ทำธุรกิจได้ เป็นร้านค้าออนไลน์

    รัฐบาลแทบไม่ต้องสนับสนุนเงินกู้หรือเงินทุนอะไรเลย ที่ควรให้คือทักษะและสนับสนุนนักฝันตามให้ถึงฝัน

    เชื่อเถอะ มีธุรกิจมากมายที่ตลาดคอยรองรับอยู่แล้ว ผู้ซื้อมี ผู้ต้องการใช้บริการมี

    เศรษฐกิจดิจิตอลน่าจะตอบโจทย์ยากๆเรื้อรังของประเทศนั่นคือคนรุ่นใหม่ดาหน้าหางานทำในเมืองใหญ่ ด้วยเชื่อว่างานดีงานมั่นคงต้องไปแย่งชิงกันที่นั่น ยุคใหม่ไม่ต้องเลย รกรากอยู่ที่ไหนก็ปักหลักที่นั่นสามารถดำเนินธุรกิจได้ทั้งประเทศ ทั้งภูมิภาค

    จึงอย่ารอการจัดตั้งกระทรวงใหม่ รวมทั้งไม่รอให้คนไทยพัฒนาภาษาอังกฤษก่อนถึงจะทำธุรกิจในประชาคมอาเซียนได้ ทุกอย่างมีมืออาชีพรับช่วงขอให้ “ไอเดีย” กระจ่าง

    ย้ำครับ ไม่ควรให้ขั้นตอนตั้งกระทรวงหรือความอ่อนแอของภาษามาทำลายความคิดดีๆ

    หลังฉลองปีใหม่ก็น่าที่ “หม่อมอุ๋ย” เจ้าของโปรเจคท์จะทำให้เกิดความชัดเจนเศรษฐกิจดิจิตอล เสนอโฟกัสไปที่ขนาดเล็กๆใครมีไอเดียบรรเจิด เริ่มได้เลย.



    คอลัมน์ชื่อน่ากลัวแต่เนื้อหาน่าลองครับ





    ก่อนปีใหม่กลับไปเอาข้าวใหม่ได้ข้าวเบญจพันธุ์รวมเจ็ดร้อยกิโลกรัม ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว ข้าวไรซ์ ข้าวหัก
    ทยอยแพ็คขายและฝากหมดพอดีและมีสั่งเพิ่มเล็กน้อย ลูกค้าสิบกว่าคนเจ้าเดิมครับ

    พี่น้องกลับบ้านปีใหม่เดินทางปลอดภัยและอย่าลืมสีข้าวหอมมาขายกันนะครับ

    ขอบคุณครับพี่ Duangporn ขอบคุณพี่ Wirun ยินดีครับ


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หนุ่มลาวสาวขะแมร์; 27-12-2014 at 21:09.

  2. #22
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ หนุ่มลาวสาวขะแมร์
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    ที่อยู่
    รังสิต
    กระทู้
    558

    ข้าวหอมมะลิกับช่วงเวลา


    หลังจากเก็บเกี่ยวในกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นปีถัดไปจะเป็นช่วงข้าวใหม่ ข้าวหอมมะลิแท้เมื่อนำมาหุงจะมีกลิ่นหอม
    ข้าวจะเหนียวนิ่มหุงไม่ดีเละได้ คนที่ชอบก็ว่าดีเหมือนข้าวญี่ปุ่น บางคนก็ว่าเหนียวนิ่มแฉะ แหย๋ๆ ติดช้อนติดทัพพีราดแกงไม่อร่อย
    บางท่านก็บอกชอบกินข้าวใหม่ บางท่านก็ว่าหุงยากจัง นานาความชอบ
    ข้าวหอมมะลิแท้ไม่มีข้าวพันธุ์อื่นปนจะยังหอมเหนียวนิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงสงกรานต์

    หลังสงกรานต์ข้าวจะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ข้าวเก่ายังคงมีกลิ่นหอมการหุงจะค่อยๆ ดีขึ้น หุงง่ายขึ้น

    ช่วงปลายปีข้าวหอมมะลิกลายเป็นข้าวเก่า ข้าวมียางน้อย เมื่อหุงข้าวมีกลิ่นหอมน้อย หุงง่ายใส่น้ำเยอะๆ ได้เลย
    ข้าวหุงสุกจะร่วนแยกจากกันง่ายขึ้นเมล็ดข้าวยังขาวสวยไม่แข็ง เป็นข้าวราดแกง ทำข้าวผัดได้
    และช่วงนี้จะเป็นช่วงที่แยกไม่ออกว่าข้าวอะไรเป็นข้าวอะไรนอกเสียจากผู้ที่กินอยู่เป็นประจำหรือชำนาญ(ผมก็แยกไม่ออก)
    ที่สังเกตุได้อีกอย่างหนึ่งข้าวหอมมะลิ(ที่ผมหุง)จะไม่ติดก้นหม้อเลยจะเสียบจะอุ่นครั้งสองครั้งนานแค่ไหนถึงติดก็เรียกว่าน้อยมาก

    ช่วงปลายปีถึงต้นปีหลังเก็บเกี่ยวถ้าข้าวไม่หอมเหนียวนิ่มแสดงว่าไม่ใช่หอมมะลิใหม่(ใหม่)นาปีแน่นอน จะเป็นข้าวหอมมะลิเก่าหรืออื่นๆ
    แต่ถ้าหอมเหนียวนิ่มก็ใช่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิเสียทีเดียวต้องดูหลายอย่างประกอบกันอีก ต้องมีความชำนาญพอสมควร
    เนื่องจากคุณสมบัติที่ยังดูไม่ออกในหลายๆ จุด ส่วนตัว ผมเลี่ยงโดยไม่เอาข้าวของคนอื่นที่ยังไม่มั่นใจมาสีขายให้กับใคร
    ข้าวสารเมล็ดขาวใสขาวมัวขึ้นอยู่กับการขัดขาวขัดมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องสี เช่นถ้าเครื่องสีดูดรำไม่หมดเมล็ดข้าวจะขาวขุ่น
    ถ้าผ่านการขัดมันเมล็ดข้าวจะใสมันแผล็บเพราะฝุ่นรำที่เกาะอยู่ถูกชะล้างออกหมด หลายอย่างที่ต้องดูให้ออกแต่ดูแล้วก็ดูออกยากครับ
    ต้องลองโดยการหุงกินอีกครั้งหอมเหนียวนุ่มชุ่มแฉะลองหลายๆ ครั้งหลายๆ ยี่ฮ้อเปรียบเทียบกัน

    ผมชอบกินข้าวหอมมะลิเก่าครับ ไม่หอมหรือหอมน้อยหุงก็ไม่ถือว่าขึ้นหม้อเมล็ดขาวนิ่มร่วนสวยจะราดแกงไข่เจียวอร่อย

    นำมาบอกเล่าพอได้รู้คุณสมบัติคร่าวๆ ของข้าวหอมมะลิอีกครั้งครับ


    ยินดีกับทุกท่านที่คิดและตั้งใจ หาตลาดเริ่มกันได้เลยครับ ขออย่าทิ้งความจริงใจกับผู้ซื้อ



  3. #23
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ หนุ่มลาวสาวขะแมร์
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    ที่อยู่
    รังสิต
    กระทู้
    558

    ข้าวร่วง



    ข้าวร่วง


    ไปเบิ่งสวนแตง ป้าดหญ้าหยังมาซ้ะมาเขียวงามกะด้อ ซอมเบิ่งคักๆ หญ้าหรือข้าวน้อ เจ้าของสวนแตงเพิ่นว่า ข้าวนะวะสั้น
    ผมพิจารณาเบิ่งคักๆ ถอนต้นนั้นต้นนี่ แม่นอิหลีครับต้นกล้าข้าวหอมมะลิ ข้าวที่หล่นในนาถึกฝนช่วงหนาวที่ผ่านมาพากันเกิด
    เขียวเต็มป่าแตงโม ผลจากการใช้รถเกี่ยวแล้วเร็วเสร็จไวมีข้อดีแต่กะหากมีข้อเสีย รถเกี่ยวข้าวหายากรถคันเดียวหลับหูหลับตา
    แล่นเกี่ยวเพื่อให้ทันงานและผลงานกะปรากฎตามภาพ เฮี่ยหลายได้หน่อยแถมเอาไปขายกะบ่มีราคา สิได้ปลูกแนวอื่นแทน
    อิหลีซ้ะบ้อ ฮ่าๆ


    ข้าวร่วง


    ข้าวร่วง



  4. #24
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ หนุ่มลาวสาวขะแมร์
    วันที่สมัคร
    Aug 2012
    ที่อยู่
    รังสิต
    กระทู้
    558
    เค้กข้าวหอมมะลิ


    สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับพี่น้องและกะมากินเค้กข้าวหอมมะลิกัน
    บ้านมหาช่วงนี้เป็นเงียบๆ สงสัยพากันไปเที่ยวบ่ทันกลับ เนาะครับ

    ปีใหม่ปีนี่ผมนอนเฝ้าโรงงาน นอนหลายคิดหลายแล้วกะคิดพ้ออั่นหนึ่ง เรื่องแบ่งเค้ก
    เคยได้ยินแต่คนอื่นเว้าว่าแบ่งเค้กๆ ผมกะบ่เข่าใจจักเที่ย ตัดเค้กพอนึกภาพออกยุ่แต่แบ่งเค้ก งงครับ
    คิดไปคิดมาอาจสิเป็นแบบนี้ละว้ากะเลยนั่งค้นหาคิดเขียนคำนวณเป็นโตเลข

    สมมุติคร่าวๆ ครับว่า
    ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคนโดยประมาณ
    คิดแบบอย่างต่ำ ให้คนไทยคนนึ่งบริโภคข้าว คิดเป็นเข่าสารประมาณบ่เกิน 10 กิโลกรัมต่อคนต่อเดือน
    หรือคิดแบบง่ายๆ คือ 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทั้งนี้กะบ่รวมอาหารอื่นๆที่เฮ้ดมาจากข้าว เช่นขนมจีนขนมหวานหรืออื่นๆ
    ใน 65 ล้านคนมีคนที่บ่ซื้อข้าวกินคือชาวนาและกลุ่มเครือญาติ จากข้อมูลที่หาอ่านผมคิดว่าบ่เกิน 20 ล้านคน
    ยังเหลือคนไทยที่ยังซื้อข้าวสารทุกชนิดมาหุงต้มกินถึง 45 ล้านคน เด็กน้อยบ่มักกินเข่าหักออก เหลือจัก 40 ล้านคน

    คนไทย 40 ล้านคนซื้อข้าวสารมาบริโภคคนละ 100 กิโลกรัม คิดเป็นข้าวสารทั้งหมด คือ
    40,000,000 คน x 100 กิโลกรัมต่อปี
    เท่ากับ 4,000,000,000 กิโลกรัมต่อปี 4 พันล้านกิโลกรัม หรือ 4 ล้านตันต่อปี

    ผมให้ราคาขายปลีกข้าวสารมีราคาเฉลี่ยที่ 30 บาทต่อกิโลกรัม
    คิดเป็นเงินที่คนไทยทั้งประเทศจำนวน 40 ล้านคนต้องซื้อข้าวสารมาบริโภคเท่ากับ
    4,000,000,000 กิโลกรัมต่อปี x 30 บาทต่อกิโกรัม
    120,000,000,000 บาทต่อปี หรือ หนึ่งแสนสองหมื่นล้นบาท

    โฮ้พี่น้องครับเงินหนึ่งแสนสองล้านบาทถ้าคิดเป็นเค้กกะเค้กก้อนท่อภูเขา มีไผสิอยากมาปันเค้กนำบ่ครับ
    ขอจั้กศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์กะพอละผม 0.1% กะ 120 ล้านบาทครับ
    มีส่วนแบ่งกับคะเจ้าปีละ 120 ล้านบาท น่าสนใจเด้ครับ

    เค้กใหญ่ก้อนนี่มีคนที่รับส่วนแบ่งไปเป็นคนแรกกะคือชาวนาที่ทำนาขายข้าวเปลือก
    ค่าเฉลี่ยของข้าวเปลือกที่สีออกมาเป็นข้าวสารอยู่ที่ 2 ต่อ 1 หรือข้าวเปลือกสองกิโลกรัมได้ข้าวสารหนึ่งกิโลกรัม
    ข้าวสาร 4 ล้านตันได้จากการสีข้าวเปลือก 8 ล้านตัน
    ให้ราคาเฉลี่ยข้าวเปลือกอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน
    คิดเป็นเงินที่ชาวนาต้องได้จากการขายข้าวเปลือก 8 ล้านตัน คือ
    8,000,000 ตัน x 10,000 บาทต่อตัน
    80,000,000,000 บาท หรือ แปดหมื่นล้านบาท

    เค้กก้อนโตในตลาดข้าวสารภายในประเทศ 120,000 ล้านบาท ถูกตัดแบ่งไปโดยชาวนาจำนวน 80,000 ล้านบาท
    ยังเหลือให้แบ่งได้อีกถึง 40,000 ล้านบาท และเงินสี่หมื่นบาทนี้เป็นกำไรทั้งหมดเลยหรืออย่างไร
    ตอบว่าเป็นกำไรเสียส่วนใหญ่ครับเพราะ
    ข้าวเปลือกหนึ่งตันสีออกแล้ว สิได้ฮำดีๆ 100 กิโลกรัม ได้ปลายข้าว 100-150 กิโกรัม ได้แกลบ 250-300 กิโลกรัม
    คิดเป็นมูค่าบ่ต่ำกว่า 2,000 บาทครับ สามารถนำไปหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการสีข้าวหนึ่งตันถึงผู้บริโภคได้

    สรุปคร่าวๆ เงินสี่หมื่นล้านบาท คือยอดกำไรในระบบการขายข้าวสารภายในประเทศแน่นอน
    ถ้าประเทศไทยมีโรงสีหนึ่งร้อยโรงสำหรับสีข้าวจำหน่ายภายในประเทศ โรงสีเหล่านั้นจะมีกำไรเฉลี่ย 400 ล้านบาทต่อปี

    บ่แม่นเงินหน่อยๆ ครับ เฮาลูกชาวนามาขอแบ่งเพิ่นจั้กคนละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เอาคนละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ของสี่หมื่นล้านกะพอ
    0.1 เปอร์เซ็นต์ของ 40,000 ล้าน เท่ากับ 40 ล้านบาท โอ้หลายโพ้ดเนาะ ขอแบ่งกินนำเพิ่นจั้ก 0.01 เปอร์เซ็นต์
    คิดเป็นเงิน 4 ล้านบาท ยังหลายยุ่ ขอแบ่งจัก 0.001 เปอร์เซ็นต์กะพอ 000.1% คิดเป็นเงินกำไรกะ 400,000 สี่แสนบาท

    ตามสมมุติฐานของผมนี่ สิมีหุ้นตลาดข้าวสารในประเทศอยู่หนึ่งแสนหุ้นหรือแสนคน แต่ละหุ้นสามารถทำกำไรได้สูงสุด
    ถึง 400,000 บาท ไผกำลังหลายกะเฮ้ดหลายหุ้นครับ เช่นขอแบ่งมาเฮ้ด 10 หุ้นกะสิเกิดกำไรถึง 4 ล้านบาทต่อปี



    แนะกำไรสี่ล้านบาทสิต้องลงทึนจั้กบาทละหรือว่าขนเข่าไปขายโรงสีในตลาดกะได้โลด พ่อหญ่ลีถาม
    กำไร 4 ล้านบาท สิได้มาจากการขายข้าวสารเอ่อ....โล อ้าวงง ต้องวนกับขึ้นไปใหม่
    เงิน 120,000 ล้านบาท เกิดจากการขายข้าวสาร 4 ล้านตัน (ราคาตันละ 30,000 บาท หรือ 30 บาทต่อกิโลกรัม)
    หลังจากหักค่าข้าวเปลือกที่ราคาตันละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 80,000 ล้านบาทออกแล้ว
    เหลือเงินที่คาดว่าเป็นกำไรทั้งหมดที่เท่ากับ 40,000 ล้านบาท
    กำไร 40,000 ล้านบาท เกิดจากการขายข้าวสาร 4 ล้านตัน
    คิดเป็นกำไรต่อตัน คือ 40,000 ล้านบาท / 4 ล้านตัน = 10,000 บาทต่อตันข้าวสาร

    ตกลงต้องสีข้าวจักถ่งจั่งสิได้เงินสี่ล้าน มาเว้าโดนแท้
    ใจเย็นๆ ครับพ่อใหญ่
    กำไร 4 ล้านบาท ได้จากการขายข้าวสารจำนวน 4,000,000 บาท / 10,000 บาทต่อตัน = 400 ตัน
    ข้าวสาร 400 ตันได้จากการสีข้าวเปลือก 800 ตัน
    พ่อหญ่ต้องสีเข่าเปลือก 800 ตันแล้วได้เข่าสาร 400 ตันไปขายจั่งสิได้เงิน 4 ล้านครับ
    เอ้อบ่ยากส่ำสีเข่าต้ะตำเขากะตำดอกแต่ว่าเข่าเปลือก 800 ตันมันส่ำได่ละสิบ่นาท่งใหญ่พุ้นติ
    เท่ากับข้าวเปลือกของชาวนาพี่นองบ้านเฮาเบิดหมู่บ้านและของหมู่บ้านติดกันอีกเคิ่งหมู่บ้านครับพ่อหญ่
    ป้าดดด มันสิบ่หลายโพดติไผสิมาแบกถ่งเข่าให้ยุ่หนี่
    ถ้าแบบนั้นเอาแบบนี่พ่อใหญ่ เอากำไร 4 แสนกะพอบ่ต้องเอาหลาย
    กำไร 4 แสน ได้จากการขายข้าวสาร 400,000 บาท / 10,000 บาทต่อตัน = 40 ตัน
    ข้าวสาร 40 ตันได้จากการสีข้าวเปลือก 80 ตัน
    ประมาณข้าวในเหล้าของไทยบ้านคุ้มหนึ่ง หรือของญาติพี่น้องรวมกัน 20-30 คน
    เอ้อคือ ไปเอามาสีตี้ละเงินสี่แสนแล้วหนี้ ธกส พอดีพ่อแฮ่งค้าน เที่ยวแล่นเข่าอำเภอปานผู้ซ่วยเว้ยละ
    สีบ่ทันได้ครับ ต้องมีโรงสีก่อน อย่างหน่อยกะต้องโรงสีขนาด 1 ตัน
    กะไปเอามามันอยู่ใสโรงสี
    ไปบ่ได้บ่มีเงิน พ่อใหญ่ต้องเอาเงินมาก่อน
    จั้กบาทจั่งว่าสั้น
    สองแสนพ่อใหญ่
    เอาโฉนดที่บ้านไปจำนำ ธกส เอาเงินมาตั้งโรงสีเรียบร้อย
    ไปเอาเข่าเขาอีนางมาสีลองเบิ่งตี้โรงสีสูเฮ้ดแล้วบ่แม่นติ
    ไปบ่ได้พ่อใหญ่
    แม่นหยังอีกเปี๋ยงจั่งไปบ่ได้ขาสูล่อยติว่าสั้น
    บ่ล่อยแต่บ่มีรถเข็น
    อ้าวรถอิแต้กสูเด
    บ้าติรถอิแต้กข่อยกะอยากอายคนตั้ว ต้องรถปิ๊กอัพมันจั่งโก้มือสองกะได้ห้าหกหมื่นสภาพดียุ้ อิซุซุฟาสเต้อร์แซด
    เอ้อเอ่าเอากะเอา ยุ่ใสละรถ
    ยุ่สตึกครับเต้นมือสองใกล้ๆ บ้านเฮา
    มีรถแล้วสูกะไปเอาเข่ามาสีแม้ โรงสีจนนกจอกเฮ้ดฮังถ่าหยังอีกถ่าฆ้อนติ
    บ่แม่นถ่าฆ้อนพ่อใหญ่ถ่าเงิน
    เงินหยังอีกสูมาร่ำไรแถะวั้นเถาะ
    เงินซื้อเข่านี่ละ
    เข่าเขาเข้าโครงการประกันราคาเอาเงินมาแล้วมาสิได้ซื้อ
    ต้องซื้อคือเก่า ตามราคาโรงสี ตอนนี้ราคาเก้าบาทห้าสิบพ่อใหญ่ เบิ้ดเล้าแม่ใหญ่นางสิอยู่หว่างห้าหมื่นนิหละ
    เบิ้ดตั้วนากูขั่นว่าสั้น หมู่นายทึนใหญ่
    กู้เงินมาซื้อข้าวเปลือกและสีข้าวเรียบร้อย ข้าวสารกะเม็ดงามดี ปลายฮำกะได้หลายสมควรกับราคาโรงสี
    ไปพากันเอาข้าวไปขายได้แล้ว เอาไว้โดนมอดสิขึ้น
    ไปบ่ได้
    ยากหยังอี๊กจั่งสิไปบ่ได้ สูเทียวจนหล่อนแล้วบ่แม่นติกรุงเทพ ฮึสิให้กูพาไปส่ำพระรามเก้า กูหมั่นยุ้เด้เว้าควมแม่น
    ไปบ่ได้บ่มีรถไป
    แนะกะรถสูเข็นเข่ายุ่นิเด
    รถมันเก่ามันแล่นบ่ฮ้อดดอก แม่นฮ้อดถ่งเข่าเต็มดากกะขึ้นเขาบ่ได้ ต้องมีรถอีกจั้กคัน วีโก้ตอนเดียวจั่งสิไปได้
    รถเขาบักเขียวเด เอิ้นมันมันมาขนให้
    บ้าตี้รถสี่ประตูป้ายแดงมันแฮงเทียวเซ้ดมันสิมาขนให้อิพ่อใหญ่ติ เมียเขากะด่าคอเอาถ้อนตั้ว
    ยากเนาะ แม่นไผละว่าอยากตั้งโรงสีสีเข่าขาย
    กะพ่อใหญ่นั้นตั้วไปส่อไส่คะเจ้าว่าอยากรวยอยากแบ่งเค้กคือว่าสั้น
    เอาใบนาโคกไปเข่า ธกส เอาเงินมาซื้อวีโก้มือสองตอนเดียวพอได้ขนเข่าสารไปขาย
    ไปเด้อพ่อหญ่ถ่าเอาเงินโล้ดเจ้า
    เอ้อๆ ไปท่าว ค่อยไประวังๆ รถแฮ่งหลาย

    ผัวเก่าคนนี้ๆๆๆๆ.....เสียงโทรศัพท์ โหลๆ แม่นไผละ
    พ่อใหญ่รถถึกจับ
    จับหยังยุ่ใสเดี่ยวก่อนคำเข่าคาปากกูยุ่
    จับยุ่หว่างลงมอหม่องออกจากสามแยกใส่ทางใหญ่นี้ละ
    เขาจับเอาเข่าสารสูติ
    บ่ เขาจับแล่นขวา
    แนะมึงแล่นขัวบ่ละ
    กะแล่นละเนาะแนวเลนซ้ายทางหมุ่นคือฮำนิ แล่นซ้ายไปกลับช่วงล่างรถมุ่นพอดี
    เขาเอาจักบาท
    สี่ร้อย ให้อิแม่โอนเงินมาให้ข่อยแน่ บ่พอค่าน้ำมันเด้เงินในถ่งข่อย
    เอ้อๆ จักแม่นยากหลายอันหลายแนวเนาะพากันคืนมาซ้ะขั่นมันยากหลายกะดาย
    คืนจั่งได่คืนบ่ได้ ลูกค้าเพิ่นถ่าเอาข้าวยุ่ดาวคะนอง โทรนัดเพิ่นไว้แล้วว่าห้าโมงแลงไปฮอด
    เอ้อ โอ้ยกูวีง
    ส่ำนี่ละพ่อใหญ่ เดี่ยวข่อยลิไลน์ใบสั่งไปให้เด้อ ขั่นเจ้าบ่เซี่ย
    เอ้อลงเฟสให้พ่อนำ ยายนั้นเพิ่นแฮ่งว่าพ่อใหญ่ตั้งราคาขายแพงยุ้

    เอี๊ยดๆๆๆ เอ่าพ่อใหญ่เงินค่าเข่าสารเจ้า ได้บ่ครบดอก
    กลับมาแล้วติหล่า แนะ หักหยังอีกจั่งบ่ครบ
    ค่าด่านสามสี่หม่องแล้วกะข่อยล้าข่อยกะเลยแวะนวดยุจอหอ เบิดสามพันกับค่าน้ำมัน เหลียส่ำนั้นละ
    กูฮั่งว่าล้ะๆๆๆ หางตากูมันสะเหม่นหว่างเช้า
    เจ้ากะขายหมูตื่มเอาอย่าคึดยากหลาย ขี่ถี่หลายข่อยบ่เอาไปขายให้อีกเด้ เจ้าไลน์นัดกันสุมื้อบ่แม่นติกับแม่ค้ากรุงเทพ
    บ้ะ มึงอย่าปากแฮงหลายเถาะเว้ย โทรศัพท์กูว่ามันจอใหญ่กูกะเขี่ยเล่นไปสั้นละมึงอย่ามาหาซอมผู้เฒ่ามันบาป
    มื้ออื่นละไปเอาข้าวเล้าเขาอีหลอดมาสี ทางชลเพิ่นกะว่าอยากได้จั้กตัน
    เอ้อๆ เดี่ยวข่อยไปฮ่างหนูเกิ่น ผักบั่วยุ้สวนเจ้าหดให้ข่อยบ่ละ
    แนะลืมตั้วละ พ่อกะยากต้ะนำไลน์โอ้ะยากนำหญ้าให้งัว เฮ่อๆๆๆ
    น้าน


    สรุปสิสีข้าวขายได้ ต้องลงทุนทั้งระบบหลายแสนบาทครับเพื่อแลกกับกำไร 4 แสนบาทต่อปี
    กรณีรถอาจสิบ่ต้องลงทุน เพราะถือว่าหลายๆ คนกะมีรถใช้กันยุ่แล้ว
    สิลงทุนกะแค่เครื่องสีข้าวที่มีกำลังการผลิตพอสมควรเพื่อประหยัดเวลาในการสี แล้วกะเงินสดหมุนเวียน
    กำไร 4 แสนบาทจากการสีข้าวเปลือก 80 ตัน ถ้าโรงสีขนาด 1 ตัน กะใช้เวลาสี 80 มื้อครับ ถ้าคิดเป็นการทำงาน
    กะแค่สามถึงสี่เดือนต่อปีกับคนที่ร่างกายแข็งแรงหนึ่งคน

    น่าสนใจ มีไผอยากไปแบ่งเค้กนำพ่อใหญ่ลีนั้นบ่ครับ

    คนที่เข่าใจในสิ่งที่ผมสื่อกะสินึกภาพออกและคิดว่าเป็นไปได้
    ไผยังบ่เคลียร์นึกภาพบ่ออก ผมกะมีตัวอย่างให้เบิ่ง


    ผมเอาเข่ามาขายตามโอกาสในสองสามปี เมื่อเทียบราคาขายข้าวสารต่อราคาข้าวเปลือกผลถือว่าแบบลังเล
    ปีนี้ผมสีข้าวหอมมะลิจำนวน 1 ตัน ที่ราคาข้าวเปลือก 9000 บาทต่อตัน ได้ข้าสารงามๆ 500 กิโลกรัม
    นำมาขายกิโลละ 30 บาทได้ 15,000 บาท ได้รำแกลบปลายคิดเป็นเงิน 2,000 บาท รวมเป็น 17,000 บาท
    หักค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันรถ 2,000 บาท ค่าไฟฟ้า 200 บาท ค่าลูกยางเครื่องสีข้าว 800 บาท ค่าแรงบ่คิด
    ได้กำไรสุทธิ = 17,000 - (9,000+2,000+200+800) = 5,000 บาทต่อ 1 ตันข้าวเปลือก

    ถ้าตีราคาข้าวเปลือกจ้าวหอมมะลิที่ 6,000 บาทต่อตัน และนำข้าวสารมาขายที่กิโลกรัมละ 20 บาท
    ((500 x 20)+2,000) - (6,000+2,000+200+800) = 3,000 บาทต่อข้าวเปลือกหอมมะลิ 1 ตัน
    ได้กำไร 3,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก แต่ข้าวเปลือกหอมมะลิราคานี่ไผสิปลูกสิขายอีกละ หาซื้อบ่ได้ดอกครับ

    สรุป ณ วันนี้ผมขายข้าวสารหอมมะลิไปครึ่งตันข้าวสารที่สีจากข้าวเปลือก 1 ตัน ได้กำไรสุทธิ 5,000 บาท
    ปีนี้ผมตั้งจะขายข้าวสารหอมมะลิให้ได้ 5 ตัน คิดเป็นกำไร 50,000 บาท เมื่อรวมกับต้นทุนข้าวเปลือกที่ตันละ
    10,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท หักค่าต้นทุนการปลูกข้าวที่ 5,000 บาทต่อตัน จะเหลือเป็นรายได้
    ให้กับครอบครัวที่ 100,000 บาทต่อปี

    และขายข้าวสารจำนวน 5 ตัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศตามการประเมินของผมเพียง 0.000125 %
    ส่วนแบ่งการตลาดเพียงเท่านี้บ่มีผลกระทบต่อระบบดอกครับ ไบ่มีไผเขามาขวางมาห้ามเฮาดอกอย่ากังวล
    กังวลแต่ว่าสิเฮ้ดได้บ่และในทางกลับกันรัฐบาลทั้งรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่เพิ่นก็ให้การสนับสนุนอย่างดียิ่ง

    ลูกชาวนาและคนไทยทุกท่านเฮามาทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้กันครับ แบ่งเค้กจากระบบทุนเล็กน้อย
    เพื่อสร้างอาชีพให้กับตัวเองและวางรากฐานให้กับลูกหลานในอนาคตให้รู้จักค้าขาย บ่แม่นให้แต่คนอื่นขายจนรวย
    และผมกะยังเห็นว่า "วันนี้" ตลาดขายข้าวภายในประเทศควรสิเป็นของชาวนาหรือลูกหลานชาวนา มากกว่า
    ส่วนนายทุนหรือโรงสีกะเอาข้าวที่ยังเหลืออีกสิบล้านกั่วตันไปส่งออกครับ ยังบ่มีไผไปแย่งอาชีพท่านดอกครับ

    ลองพิจารณาเบิ่งเด้อครับ ส่วนผมปีนี้กะได้แบ่งเค้กไปแล้ว อย่างหน่อยกะ 500 กก หรือ 0.0000125% พุ้นเด้
    ได้กำไรมาห้าพันบาทบวกกับโบนัสในโรงงานกะได้งัวน้อยโตนึ่งยุ้ ฮ่าๆๆ



    ขอบคุณและยังรักบ้านมหาครับ

หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •