-
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
ข้าวหอมมะลิกับช่วงเวลา
หลังจากเก็บเกี่ยวในกลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นปีถัดไปจะเป็นช่วงข้าวใหม่ ข้าวหอมมะลิแท้เมื่อนำมาหุงจะมีกลิ่นหอม
ข้าวจะเหนียวนิ่มหุงไม่ดีเละได้ คนที่ชอบก็ว่าดีเหมือนข้าวญี่ปุ่น บางคนก็ว่าเหนียวนิ่มแฉะ แหย๋ๆ ติดช้อนติดทัพพีราดแกงไม่อร่อย
บางท่านก็บอกชอบกินข้าวใหม่ บางท่านก็ว่าหุงยากจัง นานาความชอบ
ข้าวหอมมะลิแท้ไม่มีข้าวพันธุ์อื่นปนจะยังหอมเหนียวนิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงสงกรานต์
หลังสงกรานต์ข้าวจะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ข้าวเก่ายังคงมีกลิ่นหอมการหุงจะค่อยๆ ดีขึ้น หุงง่ายขึ้น
ช่วงปลายปีข้าวหอมมะลิกลายเป็นข้าวเก่า ข้าวมียางน้อย เมื่อหุงข้าวมีกลิ่นหอมน้อย หุงง่ายใส่น้ำเยอะๆ ได้เลย
ข้าวหุงสุกจะร่วนแยกจากกันง่ายขึ้นเมล็ดข้าวยังขาวสวยไม่แข็ง เป็นข้าวราดแกง ทำข้าวผัดได้
และช่วงนี้จะเป็นช่วงที่แยกไม่ออกว่าข้าวอะไรเป็นข้าวอะไรนอกเสียจากผู้ที่กินอยู่เป็นประจำหรือชำนาญ(ผมก็แยกไม่ออก)
ที่สังเกตุได้อีกอย่างหนึ่งข้าวหอมมะลิ(ที่ผมหุง)จะไม่ติดก้นหม้อเลยจะเสียบจะอุ่นครั้งสองครั้งนานแค่ไหนถึงติดก็เรียกว่าน้อยมาก
ช่วงปลายปีถึงต้นปีหลังเก็บเกี่ยวถ้าข้าวไม่หอมเหนียวนิ่มแสดงว่าไม่ใช่หอมมะลิใหม่(ใหม่)นาปีแน่นอน จะเป็นข้าวหอมมะลิเก่าหรืออื่นๆ
แต่ถ้าหอมเหนียวนิ่มก็ใช่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิเสียทีเดียวต้องดูหลายอย่างประกอบกันอีก ต้องมีความชำนาญพอสมควร
เนื่องจากคุณสมบัติที่ยังดูไม่ออกในหลายๆ จุด ส่วนตัว ผมเลี่ยงโดยไม่เอาข้าวของคนอื่นที่ยังไม่มั่นใจมาสีขายให้กับใคร
ข้าวสารเมล็ดขาวใสขาวมัวขึ้นอยู่กับการขัดขาวขัดมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องสี เช่นถ้าเครื่องสีดูดรำไม่หมดเมล็ดข้าวจะขาวขุ่น
ถ้าผ่านการขัดมันเมล็ดข้าวจะใสมันแผล็บเพราะฝุ่นรำที่เกาะอยู่ถูกชะล้างออกหมด หลายอย่างที่ต้องดูให้ออกแต่ดูแล้วก็ดูออกยากครับ
ต้องลองโดยการหุงกินอีกครั้งหอมเหนียวนุ่มชุ่มแฉะลองหลายๆ ครั้งหลายๆ ยี่ฮ้อเปรียบเทียบกัน
ผมชอบกินข้าวหอมมะลิเก่าครับ ไม่หอมหรือหอมน้อยหุงก็ไม่ถือว่าขึ้นหม้อเมล็ดขาวนิ่มร่วนสวยจะราดแกงไข่เจียวอร่อย
นำมาบอกเล่าพอได้รู้คุณสมบัติคร่าวๆ ของข้าวหอมมะลิอีกครั้งครับ
ยินดีกับทุกท่านที่คิดและตั้งใจ หาตลาดเริ่มกันได้เลยครับ ขออย่าทิ้งความจริงใจกับผู้ซื้อ
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
เค้กข้าวหอมมะลิ
สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับพี่น้องและกะมากินเค้กข้าวหอมมะลิกัน
บ้านมหาช่วงนี้เป็นเงียบๆ สงสัยพากันไปเที่ยวบ่ทันกลับ เนาะครับ
ปีใหม่ปีนี่ผมนอนเฝ้าโรงงาน นอนหลายคิดหลายแล้วกะคิดพ้ออั่นหนึ่ง เรื่องแบ่งเค้ก
เคยได้ยินแต่คนอื่นเว้าว่าแบ่งเค้กๆ ผมกะบ่เข่าใจจักเที่ย ตัดเค้กพอนึกภาพออกยุ่แต่แบ่งเค้ก งงครับ
คิดไปคิดมาอาจสิเป็นแบบนี้ละว้ากะเลยนั่งค้นหาคิดเขียนคำนวณเป็นโตเลข
สมมุติคร่าวๆ ครับว่า
ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคนโดยประมาณ
คิดแบบอย่างต่ำ ให้คนไทยคนนึ่งบริโภคข้าว คิดเป็นเข่าสารประมาณบ่เกิน 10 กิโลกรัมต่อคนต่อเดือน
หรือคิดแบบง่ายๆ คือ 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทั้งนี้กะบ่รวมอาหารอื่นๆที่เฮ้ดมาจากข้าว เช่นขนมจีนขนมหวานหรืออื่นๆ
ใน 65 ล้านคนมีคนที่บ่ซื้อข้าวกินคือชาวนาและกลุ่มเครือญาติ จากข้อมูลที่หาอ่านผมคิดว่าบ่เกิน 20 ล้านคน
ยังเหลือคนไทยที่ยังซื้อข้าวสารทุกชนิดมาหุงต้มกินถึง 45 ล้านคน เด็กน้อยบ่มักกินเข่าหักออก เหลือจัก 40 ล้านคน
คนไทย 40 ล้านคนซื้อข้าวสารมาบริโภคคนละ 100 กิโลกรัม คิดเป็นข้าวสารทั้งหมด คือ
40,000,000 คน x 100 กิโลกรัมต่อปี
เท่ากับ 4,000,000,000 กิโลกรัมต่อปี 4 พันล้านกิโลกรัม หรือ 4 ล้านตันต่อปี
ผมให้ราคาขายปลีกข้าวสารมีราคาเฉลี่ยที่ 30 บาทต่อกิโลกรัม
คิดเป็นเงินที่คนไทยทั้งประเทศจำนวน 40 ล้านคนต้องซื้อข้าวสารมาบริโภคเท่ากับ
4,000,000,000 กิโลกรัมต่อปี x 30 บาทต่อกิโกรัม
120,000,000,000 บาทต่อปี หรือ หนึ่งแสนสองหมื่นล้นบาท
โฮ้พี่น้องครับเงินหนึ่งแสนสองล้านบาทถ้าคิดเป็นเค้กกะเค้กก้อนท่อภูเขา มีไผสิอยากมาปันเค้กนำบ่ครับ
ขอจั้กศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์กะพอละผม 0.1% กะ 120 ล้านบาทครับ
มีส่วนแบ่งกับคะเจ้าปีละ 120 ล้านบาท น่าสนใจเด้ครับ
เค้กใหญ่ก้อนนี่มีคนที่รับส่วนแบ่งไปเป็นคนแรกกะคือชาวนาที่ทำนาขายข้าวเปลือก
ค่าเฉลี่ยของข้าวเปลือกที่สีออกมาเป็นข้าวสารอยู่ที่ 2 ต่อ 1 หรือข้าวเปลือกสองกิโลกรัมได้ข้าวสารหนึ่งกิโลกรัม
ข้าวสาร 4 ล้านตันได้จากการสีข้าวเปลือก 8 ล้านตัน
ให้ราคาเฉลี่ยข้าวเปลือกอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน
คิดเป็นเงินที่ชาวนาต้องได้จากการขายข้าวเปลือก 8 ล้านตัน คือ
8,000,000 ตัน x 10,000 บาทต่อตัน
80,000,000,000 บาท หรือ แปดหมื่นล้านบาท
เค้กก้อนโตในตลาดข้าวสารภายในประเทศ 120,000 ล้านบาท ถูกตัดแบ่งไปโดยชาวนาจำนวน 80,000 ล้านบาท
ยังเหลือให้แบ่งได้อีกถึง 40,000 ล้านบาท และเงินสี่หมื่นบาทนี้เป็นกำไรทั้งหมดเลยหรืออย่างไร
ตอบว่าเป็นกำไรเสียส่วนใหญ่ครับเพราะ
ข้าวเปลือกหนึ่งตันสีออกแล้ว สิได้ฮำดีๆ 100 กิโลกรัม ได้ปลายข้าว 100-150 กิโกรัม ได้แกลบ 250-300 กิโลกรัม
คิดเป็นมูค่าบ่ต่ำกว่า 2,000 บาทครับ สามารถนำไปหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการสีข้าวหนึ่งตันถึงผู้บริโภคได้
สรุปคร่าวๆ เงินสี่หมื่นล้านบาท คือยอดกำไรในระบบการขายข้าวสารภายในประเทศแน่นอน
ถ้าประเทศไทยมีโรงสีหนึ่งร้อยโรงสำหรับสีข้าวจำหน่ายภายในประเทศ โรงสีเหล่านั้นจะมีกำไรเฉลี่ย 400 ล้านบาทต่อปี
บ่แม่นเงินหน่อยๆ ครับ เฮาลูกชาวนามาขอแบ่งเพิ่นจั้กคนละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เอาคนละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ของสี่หมื่นล้านกะพอ
0.1 เปอร์เซ็นต์ของ 40,000 ล้าน เท่ากับ 40 ล้านบาท โอ้หลายโพ้ดเนาะ ขอแบ่งกินนำเพิ่นจั้ก 0.01 เปอร์เซ็นต์
คิดเป็นเงิน 4 ล้านบาท ยังหลายยุ่ ขอแบ่งจัก 0.001 เปอร์เซ็นต์กะพอ 000.1% คิดเป็นเงินกำไรกะ 400,000 สี่แสนบาท
ตามสมมุติฐานของผมนี่ สิมีหุ้นตลาดข้าวสารในประเทศอยู่หนึ่งแสนหุ้นหรือแสนคน แต่ละหุ้นสามารถทำกำไรได้สูงสุด
ถึง 400,000 บาท ไผกำลังหลายกะเฮ้ดหลายหุ้นครับ เช่นขอแบ่งมาเฮ้ด 10 หุ้นกะสิเกิดกำไรถึง 4 ล้านบาทต่อปี
แนะกำไรสี่ล้านบาทสิต้องลงทึนจั้กบาทละหรือว่าขนเข่าไปขายโรงสีในตลาดกะได้โลด พ่อหญ่ลีถาม
กำไร 4 ล้านบาท สิได้มาจากการขายข้าวสารเอ่อ....โล อ้าวงง ต้องวนกับขึ้นไปใหม่
เงิน 120,000 ล้านบาท เกิดจากการขายข้าวสาร 4 ล้านตัน (ราคาตันละ 30,000 บาท หรือ 30 บาทต่อกิโลกรัม)
หลังจากหักค่าข้าวเปลือกที่ราคาตันละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 80,000 ล้านบาทออกแล้ว
เหลือเงินที่คาดว่าเป็นกำไรทั้งหมดที่เท่ากับ 40,000 ล้านบาท
กำไร 40,000 ล้านบาท เกิดจากการขายข้าวสาร 4 ล้านตัน
คิดเป็นกำไรต่อตัน คือ 40,000 ล้านบาท / 4 ล้านตัน = 10,000 บาทต่อตันข้าวสาร
ตกลงต้องสีข้าวจักถ่งจั่งสิได้เงินสี่ล้าน มาเว้าโดนแท้
ใจเย็นๆ ครับพ่อใหญ่
กำไร 4 ล้านบาท ได้จากการขายข้าวสารจำนวน 4,000,000 บาท / 10,000 บาทต่อตัน = 400 ตัน
ข้าวสาร 400 ตันได้จากการสีข้าวเปลือก 800 ตัน
พ่อหญ่ต้องสีเข่าเปลือก 800 ตันแล้วได้เข่าสาร 400 ตันไปขายจั่งสิได้เงิน 4 ล้านครับ
เอ้อบ่ยากส่ำสีเข่าต้ะตำเขากะตำดอกแต่ว่าเข่าเปลือก 800 ตันมันส่ำได่ละสิบ่นาท่งใหญ่พุ้นติ
เท่ากับข้าวเปลือกของชาวนาพี่นองบ้านเฮาเบิดหมู่บ้านและของหมู่บ้านติดกันอีกเคิ่งหมู่บ้านครับพ่อหญ่
ป้าดดด มันสิบ่หลายโพดติไผสิมาแบกถ่งเข่าให้ยุ่หนี่
ถ้าแบบนั้นเอาแบบนี่พ่อใหญ่ เอากำไร 4 แสนกะพอบ่ต้องเอาหลาย
กำไร 4 แสน ได้จากการขายข้าวสาร 400,000 บาท / 10,000 บาทต่อตัน = 40 ตัน
ข้าวสาร 40 ตันได้จากการสีข้าวเปลือก 80 ตัน
ประมาณข้าวในเหล้าของไทยบ้านคุ้มหนึ่ง หรือของญาติพี่น้องรวมกัน 20-30 คน
เอ้อคือ ไปเอามาสีตี้ละเงินสี่แสนแล้วหนี้ ธกส พอดีพ่อแฮ่งค้าน เที่ยวแล่นเข่าอำเภอปานผู้ซ่วยเว้ยละ
สีบ่ทันได้ครับ ต้องมีโรงสีก่อน อย่างหน่อยกะต้องโรงสีขนาด 1 ตัน
กะไปเอามามันอยู่ใสโรงสี
ไปบ่ได้บ่มีเงิน พ่อใหญ่ต้องเอาเงินมาก่อน
จั้กบาทจั่งว่าสั้น
สองแสนพ่อใหญ่
เอาโฉนดที่บ้านไปจำนำ ธกส เอาเงินมาตั้งโรงสีเรียบร้อย
ไปเอาเข่าเขาอีนางมาสีลองเบิ่งตี้โรงสีสูเฮ้ดแล้วบ่แม่นติ
ไปบ่ได้พ่อใหญ่
แม่นหยังอีกเปี๋ยงจั่งไปบ่ได้ขาสูล่อยติว่าสั้น
บ่ล่อยแต่บ่มีรถเข็น
อ้าวรถอิแต้กสูเด
บ้าติรถอิแต้กข่อยกะอยากอายคนตั้ว ต้องรถปิ๊กอัพมันจั่งโก้มือสองกะได้ห้าหกหมื่นสภาพดียุ้ อิซุซุฟาสเต้อร์แซด
เอ้อเอ่าเอากะเอา ยุ่ใสละรถ
ยุ่สตึกครับเต้นมือสองใกล้ๆ บ้านเฮา
มีรถแล้วสูกะไปเอาเข่ามาสีแม้ โรงสีจนนกจอกเฮ้ดฮังถ่าหยังอีกถ่าฆ้อนติ
บ่แม่นถ่าฆ้อนพ่อใหญ่ถ่าเงิน
เงินหยังอีกสูมาร่ำไรแถะวั้นเถาะ
เงินซื้อเข่านี่ละ
เข่าเขาเข้าโครงการประกันราคาเอาเงินมาแล้วมาสิได้ซื้อ
ต้องซื้อคือเก่า ตามราคาโรงสี ตอนนี้ราคาเก้าบาทห้าสิบพ่อใหญ่ เบิ้ดเล้าแม่ใหญ่นางสิอยู่หว่างห้าหมื่นนิหละ
เบิ้ดตั้วนากูขั่นว่าสั้น หมู่นายทึนใหญ่
กู้เงินมาซื้อข้าวเปลือกและสีข้าวเรียบร้อย ข้าวสารกะเม็ดงามดี ปลายฮำกะได้หลายสมควรกับราคาโรงสี
ไปพากันเอาข้าวไปขายได้แล้ว เอาไว้โดนมอดสิขึ้น
ไปบ่ได้
ยากหยังอี๊กจั่งสิไปบ่ได้ สูเทียวจนหล่อนแล้วบ่แม่นติกรุงเทพ ฮึสิให้กูพาไปส่ำพระรามเก้า กูหมั่นยุ้เด้เว้าควมแม่น
ไปบ่ได้บ่มีรถไป
แนะกะรถสูเข็นเข่ายุ่นิเด
รถมันเก่ามันแล่นบ่ฮ้อดดอก แม่นฮ้อดถ่งเข่าเต็มดากกะขึ้นเขาบ่ได้ ต้องมีรถอีกจั้กคัน วีโก้ตอนเดียวจั่งสิไปได้
รถเขาบักเขียวเด เอิ้นมันมันมาขนให้
บ้าตี้รถสี่ประตูป้ายแดงมันแฮงเทียวเซ้ดมันสิมาขนให้อิพ่อใหญ่ติ เมียเขากะด่าคอเอาถ้อนตั้ว
ยากเนาะ แม่นไผละว่าอยากตั้งโรงสีสีเข่าขาย
กะพ่อใหญ่นั้นตั้วไปส่อไส่คะเจ้าว่าอยากรวยอยากแบ่งเค้กคือว่าสั้น
เอาใบนาโคกไปเข่า ธกส เอาเงินมาซื้อวีโก้มือสองตอนเดียวพอได้ขนเข่าสารไปขาย
ไปเด้อพ่อหญ่ถ่าเอาเงินโล้ดเจ้า
เอ้อๆ ไปท่าว ค่อยไประวังๆ รถแฮ่งหลาย
ผัวเก่าคนนี้ๆๆๆๆ.....เสียงโทรศัพท์ โหลๆ แม่นไผละ
พ่อใหญ่รถถึกจับ
จับหยังยุ่ใสเดี่ยวก่อนคำเข่าคาปากกูยุ่
จับยุ่หว่างลงมอหม่องออกจากสามแยกใส่ทางใหญ่นี้ละ
เขาจับเอาเข่าสารสูติ
บ่ เขาจับแล่นขวา
แนะมึงแล่นขัวบ่ละ
กะแล่นละเนาะแนวเลนซ้ายทางหมุ่นคือฮำนิ แล่นซ้ายไปกลับช่วงล่างรถมุ่นพอดี
เขาเอาจักบาท
สี่ร้อย ให้อิแม่โอนเงินมาให้ข่อยแน่ บ่พอค่าน้ำมันเด้เงินในถ่งข่อย
เอ้อๆ จักแม่นยากหลายอันหลายแนวเนาะพากันคืนมาซ้ะขั่นมันยากหลายกะดาย
คืนจั่งได่คืนบ่ได้ ลูกค้าเพิ่นถ่าเอาข้าวยุ่ดาวคะนอง โทรนัดเพิ่นไว้แล้วว่าห้าโมงแลงไปฮอด
เอ้อ โอ้ยกูวีง
ส่ำนี่ละพ่อใหญ่ เดี่ยวข่อยลิไลน์ใบสั่งไปให้เด้อ ขั่นเจ้าบ่เซี่ย
เอ้อลงเฟสให้พ่อนำ ยายนั้นเพิ่นแฮ่งว่าพ่อใหญ่ตั้งราคาขายแพงยุ้
เอี๊ยดๆๆๆ เอ่าพ่อใหญ่เงินค่าเข่าสารเจ้า ได้บ่ครบดอก
กลับมาแล้วติหล่า แนะ หักหยังอีกจั่งบ่ครบ
ค่าด่านสามสี่หม่องแล้วกะข่อยล้าข่อยกะเลยแวะนวดยุจอหอ เบิดสามพันกับค่าน้ำมัน เหลียส่ำนั้นละ
กูฮั่งว่าล้ะๆๆๆ หางตากูมันสะเหม่นหว่างเช้า
เจ้ากะขายหมูตื่มเอาอย่าคึดยากหลาย ขี่ถี่หลายข่อยบ่เอาไปขายให้อีกเด้ เจ้าไลน์นัดกันสุมื้อบ่แม่นติกับแม่ค้ากรุงเทพ
บ้ะ มึงอย่าปากแฮงหลายเถาะเว้ย โทรศัพท์กูว่ามันจอใหญ่กูกะเขี่ยเล่นไปสั้นละมึงอย่ามาหาซอมผู้เฒ่ามันบาป
มื้ออื่นละไปเอาข้าวเล้าเขาอีหลอดมาสี ทางชลเพิ่นกะว่าอยากได้จั้กตัน
เอ้อๆ เดี่ยวข่อยไปฮ่างหนูเกิ่น ผักบั่วยุ้สวนเจ้าหดให้ข่อยบ่ละ
แนะลืมตั้วละ พ่อกะยากต้ะนำไลน์โอ้ะยากนำหญ้าให้งัว เฮ่อๆๆๆ
น้าน
สรุปสิสีข้าวขายได้ ต้องลงทุนทั้งระบบหลายแสนบาทครับเพื่อแลกกับกำไร 4 แสนบาทต่อปี
กรณีรถอาจสิบ่ต้องลงทุน เพราะถือว่าหลายๆ คนกะมีรถใช้กันยุ่แล้ว
สิลงทุนกะแค่เครื่องสีข้าวที่มีกำลังการผลิตพอสมควรเพื่อประหยัดเวลาในการสี แล้วกะเงินสดหมุนเวียน
กำไร 4 แสนบาทจากการสีข้าวเปลือก 80 ตัน ถ้าโรงสีขนาด 1 ตัน กะใช้เวลาสี 80 มื้อครับ ถ้าคิดเป็นการทำงาน
กะแค่สามถึงสี่เดือนต่อปีกับคนที่ร่างกายแข็งแรงหนึ่งคน
น่าสนใจ มีไผอยากไปแบ่งเค้กนำพ่อใหญ่ลีนั้นบ่ครับ
คนที่เข่าใจในสิ่งที่ผมสื่อกะสินึกภาพออกและคิดว่าเป็นไปได้
ไผยังบ่เคลียร์นึกภาพบ่ออก ผมกะมีตัวอย่างให้เบิ่ง
ผมเอาเข่ามาขายตามโอกาสในสองสามปี เมื่อเทียบราคาขายข้าวสารต่อราคาข้าวเปลือกผลถือว่าแบบลังเล
ปีนี้ผมสีข้าวหอมมะลิจำนวน 1 ตัน ที่ราคาข้าวเปลือก 9000 บาทต่อตัน ได้ข้าสารงามๆ 500 กิโลกรัม
นำมาขายกิโลละ 30 บาทได้ 15,000 บาท ได้รำแกลบปลายคิดเป็นเงิน 2,000 บาท รวมเป็น 17,000 บาท
หักค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันรถ 2,000 บาท ค่าไฟฟ้า 200 บาท ค่าลูกยางเครื่องสีข้าว 800 บาท ค่าแรงบ่คิด
ได้กำไรสุทธิ = 17,000 - (9,000+2,000+200+800) = 5,000 บาทต่อ 1 ตันข้าวเปลือก
ถ้าตีราคาข้าวเปลือกจ้าวหอมมะลิที่ 6,000 บาทต่อตัน และนำข้าวสารมาขายที่กิโลกรัมละ 20 บาท
((500 x 20)+2,000) - (6,000+2,000+200+800) = 3,000 บาทต่อข้าวเปลือกหอมมะลิ 1 ตัน
ได้กำไร 3,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก แต่ข้าวเปลือกหอมมะลิราคานี่ไผสิปลูกสิขายอีกละ หาซื้อบ่ได้ดอกครับ
สรุป ณ วันนี้ผมขายข้าวสารหอมมะลิไปครึ่งตันข้าวสารที่สีจากข้าวเปลือก 1 ตัน ได้กำไรสุทธิ 5,000 บาท
ปีนี้ผมตั้งจะขายข้าวสารหอมมะลิให้ได้ 5 ตัน คิดเป็นกำไร 50,000 บาท เมื่อรวมกับต้นทุนข้าวเปลือกที่ตันละ
10,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท หักค่าต้นทุนการปลูกข้าวที่ 5,000 บาทต่อตัน จะเหลือเป็นรายได้
ให้กับครอบครัวที่ 100,000 บาทต่อปี
และขายข้าวสารจำนวน 5 ตัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศตามการประเมินของผมเพียง 0.000125 %
ส่วนแบ่งการตลาดเพียงเท่านี้บ่มีผลกระทบต่อระบบดอกครับ ไบ่มีไผเขามาขวางมาห้ามเฮาดอกอย่ากังวล
กังวลแต่ว่าสิเฮ้ดได้บ่และในทางกลับกันรัฐบาลทั้งรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่เพิ่นก็ให้การสนับสนุนอย่างดียิ่ง
ลูกชาวนาและคนไทยทุกท่านเฮามาทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้กันครับ แบ่งเค้กจากระบบทุนเล็กน้อย
เพื่อสร้างอาชีพให้กับตัวเองและวางรากฐานให้กับลูกหลานในอนาคตให้รู้จักค้าขาย บ่แม่นให้แต่คนอื่นขายจนรวย
และผมกะยังเห็นว่า "วันนี้" ตลาดขายข้าวภายในประเทศควรสิเป็นของชาวนาหรือลูกหลานชาวนา มากกว่า
ส่วนนายทุนหรือโรงสีกะเอาข้าวที่ยังเหลืออีกสิบล้านกั่วตันไปส่งออกครับ ยังบ่มีไผไปแย่งอาชีพท่านดอกครับ
ลองพิจารณาเบิ่งเด้อครับ ส่วนผมปีนี้กะได้แบ่งเค้กไปแล้ว อย่างหน่อยกะ 500 กก หรือ 0.0000125% พุ้นเด้
ได้กำไรมาห้าพันบาทบวกกับโบนัสในโรงงานกะได้งัวน้อยโตนึ่งยุ้ ฮ่าๆๆ
ขอบคุณและยังรักบ้านมหาครับ
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks