สำหรับเรื่องเล่าวันนี้ เราจะมาลองทบทวนเทคนิคต่างๆของมวยที่"อยากแพ้" ซึ่งในทุกวันนี้เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ทั้งมวยที่ตั้งใจมาแพ้แบบน่าเกลียดหรือที่เรียกว่า"อ่อนเชิง" หรือมวยที่ตั้งใจมาแพ้แบบเหนือชั้นหรือที่เรียกว่า"ขั้นเทพ" ซึ่งหลายๆครั้ง ความพ่ายแพ้ของมวยเหล่านี้ก็เป็นที่เคลือบแคลงและสงสัย บางครั้งก็อาจจะไล่เรียงสอบสวนจนนักมวยรับสารภาพ แต่ในบางครั้งนักมวยก็ปฎิเสธเสียงแข็งทั้งๆที่ในรูปเกมส์ค่อนข้างบ่งชี้ว่านักมวยรายนั้นมีเจตนาคิดไม่ซื่อกับวิชาชีพตนเอง "เทคนิค มวยอยากแพ้"นี้ผมได้รวบรวมมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเดินสายดูมวยล้อมผ้าและได้ดูการถ่ายทอดสดรวมถึงตามเวทีมาตรฐานต่างๆ เพราะมวยล้อมผ้านั้น การที่นักมวยตั้งใจมาแพ้มักมีรูปแบบใหม่ๆมาเสมอ และค่อนข้างจับยากกว่า ผิดกับตามเวทีมวยตู้ต่างๆซึ่งมีเซียนขาใหญ่คอยสอดส่องดูความน่าสงสัยอยู่แล้ว นักมวยที่คิดไม่ซื่อจึงมักไม่รอดสายตาของเซียนเหล่านี้ไปได้ การที่ผมนำมารวบรวมครั้งนี้เพียงเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้คิดย้อนกลับไปมองมวยที่เคยชกแล้วน่าสงสัยที่ผ่านๆมา และได้เป็นข้อสังเกตุวิธีการชกของนักมวยว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพื่อที่จะได้ระวังตัวกันเอาไว้และไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกทรยศวิชาชีพตัวเองพวกนี้...

วิธีที่1.แบบเด็กอมมือ คือการ "ตั้งใจมานอน" เทคนิคนี้หลายๆคนคงเคยเห็นจนชินตา บางครั้งนักมวยรายนั้นก็ทำสำเร็จแต่ส่วนมากมักไม่รอดจากการถูกอัญเชิญลงเวทีด้วยข้อหา"ชกไม่สมศักดิ์ศรี"ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะทำสำเร็จมีไม่น่าถึง 40เปอร์เซนต์ ด้วยซ้ำ วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก แค่ช่วงต้นเร่งให้เยอะๆทำราคาให้ไหลไปสัก2/1,3/1 แล้วก็หาจังหวะเหมาะๆที่คู่ต่อสู้เหวี่ยงหมัด เท้า เข่า ศอก มาเฉี่ยวๆ และก็ทิ้งตัวนอนแน่นิ่งหมดสติไปเลย ซึ่งวิธีนี้ถึงแม้จะทำสำเร็จก็มักจะถูกเก็บเข้ากรุและไม่มีโอกาสมาชกในรายการนั้นๆอีก ซึ่งก็มีให้เห็นมาแล้วหลายๆต่อหลายครั้ง

วิธีที่2.ขั้นหัดคลาน คือการ "แกล้งลดน้ำหนักเยอะๆ" วิธีนี้ค่อนข้างได้ผลแต่มักจะไม่ค่อยได้เสียในมุมธุรกิจ เพราะส่วนมากเมื่อคนสืบรู้เรื่องการลดน้ำหนักเยอะๆแล้ว ราคามักจะเหวี่ยงไปทางตรงกันข้ามซะมากกว่า ส่วนมากจะใช้ในการเป็นข้ออ้างเมื่อนักมวยแพ้ เพราะตามปกติเมื่อมวยลดน้ำหนักเยอะแล้ว ขึ้นมาอัตราต่อ-รอง มักให้ทางคู่ชกเป็นต่อ และเมื่อนักมวยที่ลดน้ำหนักเยอะเร่งช่วงต้นๆทำให้ราคาลดลงหรือบางครั้งอาจจะข้ามมาเป็นต่อด้วยซ้ำ ทำให้เป็นโอกาสของพวกนี้ที่จะช้อนรองอีกระลอก และสุดท้ายก็เหิ่ยวปลายและอ้างว่า การลดน้ำหนักเยอะส่งผลให้"หมดแรง"ในยกท้ายๆ วิธีนี้กรรมการมักตามไม่ทัน ถือว่าเป็นวิธีที่แสบเอาการเลยทีเดียว

วิธีที่3.ขั้นอนุบาล วิธีการคือ "คายฟันยาง" วิธีนี้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ บางครั้งรูปมวยกำลังสูสี ชิงดำ แต่นักมวยรายนั้นกลับคายฟันยางออกมาดื้อๆ ทั้งๆที่ดูสภาพแล้วยังไม่หมดแรงถึงขนาดหายใจไม่ทัน ทำให้ราคาต่อ-รอง เป็นรองคู่ชกสุดกุ่ และก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด วิธีนี้ค่อนข้างทำให้คนที่เล่นนักมวยรายนั้นหัวเสียและเสียเงินค่อนข้างมาก เพราะส่วนมากจะเป็นจังหวะที่เข้าด้ายเข้าเข็มเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะออกตัวก็คงไม่ทันแล้ว เป็นวิธีที่คลาสสิควิธีหนึ่ง ซึ่งทำได้ง่ายและค่อนข้างปลอดภัยจากการโดนโห่ นักมวยที่คิดไม่ซื่อหลายๆรายมักใช้วิธีนี้ ซึ่งคนที่เล่นมวยตัวนั้นไว้คงทำอะไรไม่ได้ นอกจาก"ทำใจ"อย่างเดียว

วิธีที่4. ขั้นเด็กประถม วิธีคือ "แกล้งทำฟาล์ว" วิธีนี้ เป็นวิธีที่ค่อนข้างชั้นสูงขึ้นมา เพราะนักมวยที่จะทำวิธีนี้มักเป็นพวกที่กระดูกเก๋า การผ่านมวยเยอะ และค่อนข้างเหนือกว่าคู่ชกอยู่พอสมควร โดยรูปเกมส์จะทำคะแนนนำไปห่ าง ราคาต่อ-รองก็ไม่ต่ำกว่า 3/1 และเมื่อถึงกลางยก4 ก็มักจะออกลูกเกเร โดยการแกล้งเตะซ้ำคู่ต่อสู้เมื่อคู่ต่อสู้ล้มลง เหลือการแกล้งเกี่ยวเชือก การตีเข่าที่บริเวณกระจับ การขัดขา ซึ่งเมื่อกรรมการเตือนหลายๆครั้งและรุนแรงขึ้น อัตราต่อ-รองต้องลดลงเป็นธรรมชาติเพราะเหมือนนักมวยรายนั้นถูกคาดโทษและห มายหัวเอาไว้แล้ว ถ้าคู่ชกเร่งขึ้นและทำได้เพียงนิดหน่อย ราคาต่อ-รองพร้อมบรรยากาศภายในเวทีพร้อมที่จะนำให้คู่ชกชนะได้สบายๆ วิธีนี้เซียนมวยมักไม่ค่อยสงสัยแต่จะรู้สึกหงุดหงิดและด่านักมวยรายนั้นค่อนข้างรุนแรง ซึ่งจริงๆแล้ว มันก็คือวิธีการหนึ่งที่ทำให้ตัวเอง"แพ้"เท่านั้นเอง

วิธีที่5. ขั้นมัธยม วิธีการคือ "แกล้งตกเวที" วิธีนี้เป็นวิธีชั้นสูงที่ค่อนข้างต้องใช้ประสบการณ์เยอะ ส่วนมากมวยใหม่ๆมักไม่ทำกัน(เพราะอาจทำไม่เนียน) วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างได้ผลชะงัด โดยเฉพาะมวยที่กำลังบี้กันมาแบบสูสี ถ้าใช้วิธีนี้เชื่อขนมกินได้เลยว่านักมวยรายนั้นต้องแพ้แน่ๆ โดยนักมวยที่เคยออกมายอมรับว่าใช้วิธีนี้เพื่อ"ล้มมวย"จนเป็นข่าวโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนก็คือ "นิลมงคล แก่นนรสิงห์" ซึ่งไฟท์นั้นชกกับ "สิทธิศักดิ์ เซ็งซิวอิ๊วยิม"ในรายการมวย7สี คู่เอก โดยรูปเกมส์วันนั้นบี้กันมาจนถึงยกที่5 และจังหวะที่นิลมงคลกำลังปล้ำกันกับสิทธิศักดิ์ และนิลมงคลก็โดนบิดจนล้มตกเวทีไป ซึ่งไม่มีใครสงสัยและติดใจอะไรกับการพ่ายแพ้ครั้งนั้น แต่สุดท้าย "สมรักษ์ คำสิงห์"ก็เป็นผู้ที่เปิดโปงความจริงทั้งหมด ว่า"นิลมงคล"ล้มมวยด้วยลูกตกเวทีจริง ทำให้นิลมงคลต้องกลายเป็น "ซามูไรพเนจร"และไม่ได้หวลกลับคืนสู่สังเวียนเมืองกรุงอีกเลย

วิธีที่6. ระดับมหาวิทยาลัย วิธีคือ "การแกล้งไปอ้วกที่เวที" วิธีนี้ถ้าเป็นในเวทีเมืองหลวงหรือเวทีมาตรฐานมักจะไม่ค่อยได้เห็นกัน แต่ถ้าเป็นเวทีล้อมผ้าจะได้เห็นวิธีนี้บ่อยๆ ซึ่งเมื่อใช้วิธีนี้แทบร้อยทั้งร้อย มักจะรอดจากการโดนอัปเปหิลงเวที เพราะใครก็มองว่าโดนหนักถึงขนาดอ้วกคงไม่ได้คิดไม่ซื่อแน่ๆ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ซึ่งหลักการทานอาหารของนักมวยต้องทานก่อนขึ้นชกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 4ชม. เพื่อให้อาหารได้ย่อยให้หมด แต่นักมวยบางรายที่ต้องการไปอ้วกที่เวที จะทานอาหารก่อนขึ้นชกประมาณ15นาทีหรือครึ่งชั่วโมง โดยทานอาหารหนักๆโปรตีนเยอะๆและทานน้ำมากๆ เมื่อขึ้นเวที2ยกแรกอาการจะไม่ออกเท่าไหร่เพราะร่างกายยังดีอยู่ แต่เมื่อเข้าสู้ยกที่3ร่างกายเริ่มขาดน้ำประกอบกับเริ่มโดนอาวุธคู่ต่อสู้มากขึ้น โดยเฉพาะโดนบริเวณท้องน้อย จะทำให้ร่างกายขับของเก่าออกมาแบบอัตโนมัตทันที ซึ่งสภาพแบบนี้กรรมการส่วนมากจะสมเพชมากกว่าที่จะมามองว่าล้มหรือไม่ล้ม และมักจะชูมือให้ฝ่ายตรงข้ามชนะไปแบบ "มีกลิ่น" ทั้งเวที ถือเป็นกลยุทธที่"ขั้นเทพ"มากๆ และเชื่อว่าวิธีนี้ ก็จะต้องมีคนนำมาใช้อีกต่อไปแน่นอน

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของ "เทคนิค มวยอยากแพ้"ที่ผมรวบรวมมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันยังมีวิธีการอีกเยอะมากและก็มีรูปแบบใหม่ๆเพิ่มมาเรื่อยๆ ซึ่งต่อให้เราไล่ตามเท่าไหร่ก็ยากที่จะไล่ตามทันคนพวกนี้ได้ เพราะเราจะมาหวังหรือเรียกร้องหาความโปร่งใสในวงการพนันมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สุดท้ายก็อยู่ที่ว่าเรารู้ทันหรือตามกลโกงของกลุ่มคนเหล่านี้ได้มากแค่ไหน เพื่อรักษาเงินในกระเป๋าของเราเอาไว้ และสิ่งที่ผมนำมาให้อ่านนี้ หวังเพียงน้อยนิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้หรือผู้ที่รู้แล้วก็อาจจะได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาได้บ้าง เพราะยังไงซะ..เราก็คงไม่เลิกที่จะเสี่ยงดวงกับวงการนี้อยู่แล้ว ถ้าสมาชิกท่านใดมีข้อมูลวิธีการเพิ่มเติมหรือข้อเสนอแนะ ก็สามารถโพสตอบไว้ได้เลยนะครับ เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นต่อไป...