หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 11 ถึง 20 จากทั้งหมด 21

หัวข้อ: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ....

  1. #11
    Super Moderator สัญลักษณ์ของ ไก่น้อย
    วันที่สมัคร
    Aug 2006
    ที่อยู่
    นครโคราช
    กระทู้
    4,928
    บล็อก
    8

    Re: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ....

    Re: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ.... กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ บ่าวพรรณานิคม
    อิอิอิ มักแตข้อความย่อหน่าสุดท้ายของน้องไก่นี่หล่ะ อิอิ เข้าตาบ่าวพรรณาที่สุด แมนสิมีโทษหลายปานใด๋กะขอกินกาแฟไว่ก่อนเด้อคะน่อย
    ..โอยยย เนาะ จักสิบำรุงไปยังดอก คือว่าโสด 555+ พุ้นให้อ้ายเซียง อ้ายมั่ว อ้ายศรีพุ้น เทือ่ได้ใช้งาน ฮ่าๆๆๆ
    กระเบื้องจะฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม เมฆจะหล่นฟ้าปลาจะกินดาว ลาวจะครองเมือง ::)

  2. #12
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวพรรณานิคม
    วันที่สมัคร
    Apr 2007
    กระทู้
    1,622

    Re: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ....

    กะขอกินบำรุงล่วงหน่าบ่ได้ตี้ ยามมันมีมาจังใซ่ประโยชน์ได้โลดนั่นน้า เหอๆๆๆ
    [*] สื่อบันเทิงที่นำมาให้รับชม รับฟังเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น หากท่านชื่นชอบ สื่อใด โปรดซื้อสินค้าลิขสิทธิ์
    [*] เกี่ยวกับลิขสิทธิ์
    [*] ทำเนียบกองทุนเว็บไซต์ บ้านมหา

  3. #13
    กุลวรินทร์
    Guest

    Re: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ....

    การดื่มกาแฟวันละ 1 แก้ว ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

  4. #14
    poolsarp
    Guest

    Re: ของฝากสำหรับคนมักกินกาแฟ....

    ผมดื่มกาแฟมากนะ มากกว่าวันละ 5ถ้วย วันไหนไม่ดื่ม ปวดหัวมากๆ สงสัยเป็นโรคพิษกาแฟเรื้อรั้ง คริคริ..

  5. #15
    กุลวรินทร์
    Guest

    รอบยิ้มพิมใจ กาแฟ : เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือไม่

    กาแฟ : เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือไม่


    ผลการศึกษาหลายฉบับเมื่อไม่นานมานี้แนะว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ
    ให้ผลดี ดังตัวอย่างเช่น.. งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาพบว่า
    คนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว มีโอกาสเกิดโรคพาร์คินสันน้อยลงถึง 5 เท่า
    การศึกษาของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 6 แก้ว
    ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราวร้อยละ 50 ขณะความเสี่ยงนี้
    ในผู้หญิงลดลงเกือบร้อยละ 30

    สถาบันมะเร็งของญี่ปุ่นกล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 - 4 แก้ว อาจลดความเสี่ยง
    ต่อโรคมะเร็งตับลงถึงครึ่งหนึ่ง

    แต่สมาคมโรคเบาหวานอังกฤษเตือนว่าอย่าดื่มเกินกว่านี้
    เพราะการดื่มมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ
    และหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว




  6. #16
    Butterfly
    Guest
    ว้า.................สิลดลงแล่วสั่น กินตั้งมื้อละแก้ว 555555555+

  7. #17
    เฮ็ดจังใด๋หละกะกินจนติดแล้ว ยามเช้าต้อง2ถ้วย ตอนบ่าย2ถ้วย เผลอๆมีแถมเดิกๆอีกถ้วย กะทำงานกับฝรั่งหาแต่กาแฟมาเลี้ยงกันยามพัก กินจนติดแล้ว เลิกยากคัก
    คนที่กล้าจะพ่ายแพ้เท่านั้น...ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

  8. #18
    กุลวรินทร์
    Guest

    รอบยิ้มพิมใจ กาแฟกับสุขภาพ

    นอกจากสารคาเฟอีนแล้วในกาแฟยังมีสารอื่นๆ ที่มีผลต่อร่างกายอีกมากมาย และคุณที่รักการดื่มกาแฟจะอยากรู้กันไหมว่า กาแฟส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพของเราบ้าง

    กาแฟกับหัวใจ
    จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2005 รายงานว่า หลอดเลือดของผู้ที่ดื่มกาแฟมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และในงานวิจัยฉบับนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือมีความเสี่ยงอื่นต่อการเกิดโรคหัวใจ (ไขมันในเลือดสูง อ้วน เบาหวาน สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย) ที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3 แก้ว ให้ลดปริมาณการดื่มลง

    ในขณะที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2006 รายงานว่า การดื่มกาแฟไม่ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แม้จะดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้ว

    ส่วนงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2006 รายงานว่า กาแฟอาจก่อให้เกิดอาการหัวใจพิบัติ (Heart attack) ได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังการดื่ม โดยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 - 3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติถึงร้อยละ 60

    ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟน้อยกว่าวันละ 2 – 3 แก้วหรือดื่มเป็นครั้งคราว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติหลังการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องจากผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่ชินกับสภาวะที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวจากการได้รับสารคาเฟอีน จึงทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติสูงกว่า

    สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป การดื่มกาแฟอาจเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดอาการหัวใจพิบัติได้มากขึ้นกว่า 2 เท่า ในขณะที่การศึกษาในหญิงวัยหมดประจำเดือนพบว่า อัตราการตายจากโรคหัวใจของผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 1 – 3 แก้ว น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟถึงร้อยละ 24 แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟและสุขภาพหัวใจยังมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำเสริมว่า การดื่มกาแฟพอประมาณ(วันละ 1 – 2 แก้ว) ไม่น่าจะทำให้เกิดอันตราย

    กาแฟกับเบาหวาน
    การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 8 งานวิจัยในปี 2005 ได้ข้อสรุปว่า ผู้ใหญ่ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 – 7 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มวันละ 2 แก้ว และจากการศึกษาล่าสุดเมื่อปีที่แล้วพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 2 – 3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลงร้อยละ 13 ในขณะที่ผู้ที่ดื่มตั้งแต่วันละ 4 แก้วขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานลดลงมากกว่าร้อยละ 40 ซึ่งการค้นพบนี้เป็นที่ประหลาดใจของทีมนักวิจัย

    เนื่องจากในการศึกษาเฉพาะสารสกัดคาเฟอีนพบว่า มีผลในการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลและลดการเผาผลาญน้ำตาล คาเฟอีนจึงน่าจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานเพิ่มขึ้นมากกว่า ดังนั้นผลในการป้องกันเบาหวานน่าจะมาจากสารอื่นที่อยู่ในกาแฟ แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยยังไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้ป้องกันโรคนี้ด้วยการบริโภคธัญพืชที่ไม่ขัดสี เพิ่มการออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

    กาแฟกับมะเร็ง
    มีการศึกษาเกี่ยวกับการดื่มกาแฟกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ พบว่า
    * การดื่มกาแฟเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้
    * การดื่มกาแฟปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว(ลูคีเมีย)
    * การดื่มกาแฟเป็นประจำจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 – 70
    * กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้
    * กาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้


    นอกจากนี้กาแฟยังมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ อีก เช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน ช่วยระงับอาการซึมเศร้า ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
    โดยพบว่าคาเฟอีนเพียง 32 มิลลิกรัมช่วยกระตุ้นให้มีสมาธิและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3 – 4 แก้วเป็นประจำ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน


    กาแฟมีมากมายหลายพันธุ์ มีวิธีการผลิตและวิธีการชงที่หลากหลาย จึงทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสที่แตกต่างกัน ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละพันธุ์ก็ไม่เท่ากัน
    โดยกาแฟพันธุ์อาราบิก้าซึ่งปลูกมากในบราซิล มีคาเฟอีนประมาณร้อยละ 0.8–1.5 ส่วนพันธุ์โรบัสต้าจากแอฟริกา มีคาเฟอีนประมาณร้อยละ 1.6–2.5 นอกจากนี้วิธีการชงกาแฟที่ต่างกันก็มีผลต่อปริมาณสารประกอบต่างๆ ที่ได้รับจากกาแฟ การชงกาแฟโดยไม่ผ่านการกรองจะทำให้ได้รับสารคาเฟสทอล(cafestol) และคาเวออล(kahweol) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่ม
    ขึ้น


    จากข้อมูลต่างๆ จะเห็นว่า กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษคละกันไป ซึ่งไม่ต่างจากทุกสิ่งในโลกนี้ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟควรดื่มอย่างพอเพียง คือไม่น้อยเกินไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางสุขภาพจากการดื่มกาแฟ และไม่มากเกินไปเพื่อป้องกันโทษจากกาแฟ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสุขภาพดีจากการจิบกาแฟที่หอมกรุ่นและรสชาติกลมกล่อมค่ะ

  9. #19
    กุลวรินทร์
    Guest

    รอบยิ้มพิมใจ ซด "กาแฟ" หนักๆ ป้องกันโรคเกาต์

    คอกาแฟได้เฮใหม่อีก เมื่อนักวิทยาศาสตร์แคนาดาศึกษาได้ผลว่า หากดื่มกาแฟวันละไม่ต่ำกว่า 4 ถ้วย จะสามารถป้องกันโรคเกาต์ อันเป็นโรคทรมานมีอาการปวดบวมตามข้อ

    นักวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ได้พบว่า คอกาแฟที่ดื่มกาแฟวันละไม่ต่ำกว่า 4 ถ้วย ในเลือดจะไม่ค่อยมีปริมาณกรดยูริกอยู่สูง อันก่อให้เกิดโรคเกาต์ แต่ถ้าเป็นชา ยังไม่อาจจะวัดผลรู้ได้ ซึ่งเป็นการส่อว่าคาเฟอีนไม่ได้มีส่วนแต่ประการใด

    ผลการศึกษาที่รายงานอยู่ในวารสารวิชาการ “การดูแลและวิจัยโรคข้ออักเสบ” กล่าวว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟเกินกว่าวันละ 4 ถ้วย ในเลือดจะไม่ค่อยมีปริมาณกรดยูริกสูง เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

    ผู้เป็นโรคเกาต์จะมีอาการปวดบวมตามข้อที่ แขนขา เมื่อผลึกของกรดยูริกสะสมในเลือดสูง เชื่อกันว่าการดื่มเบียร์มากหรือกินเนื้อแดงมากๆ อาจเป็นสาเหตุโรคของหลายต่อหลายราย การเยียวยาจะต้องกินยาแก้อักเสบ ต้องเปลี่ยนอาหารการกิน และดื่มน้ำมากๆ.

  10. #20
    กุลวรินทร์
    Guest

    รอบยิ้มพิมใจ คุณสมบัติเหลือเชื่อของกาแฟ

    เดิมเราอาจจะเข้าใจว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีมากในผัก ผลไม้ แต่ใครจะรู้บ้างคะในเมล็ดกาแฟสดก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เช่นกันโดยมีชื่อเรียกว่า “กรดคลอโรจีนิก” ซึ่งสามารถสลายตัวด้วยความร้อนเช่นเดียวกับสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ “ฟลาโนวอยด์” ที่พบมากในผักและผลไม้ต่างๆ

    “รศ.ดร.ชัยชาญ แสงดี” หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกมายืนยันว่า จาการศึกษาค้นคว้าวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ พบว่ากาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกทั้งยังมีมากว่าในชาเขียวที่เคยฮิตถึง 3เท่าทีเดียวค่ะ


    "]“รศ.ดร.ชัยชาญ”กล่าวต่ออีกว่า การดื่มกาแฟเป็นประจำ สามารถป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน ลดอัตราการเป็นอัลไซเมอร์ และโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมีหลักฐานที่มากขึ้นว่าการดื่มกาแฟอาจจะป้องกันภาวะตับแข็งและโรคตับได้

    แต่เมื่อการคั่วเมล็ดกาแฟ กรดคลอโรจีนิก อาจสลายตัวไปได้ แต่มิใช่การสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เนื่องจากกรดคลอโรจีนิคจะรวมตัวกับคาร์โบไฮเดรตและกรดอะมิโนและโปรตีนในเมล็ดกาแฟระหว่างการคั่วให้เป็น “สารเมลานอยดิน”ซึ่งมีสีน้ำตาลอ่อน- น้ำตาลเข้ม ตามอุณหภูมิและระยะเวลาของการคั่วเมล็ดกาแฟ

    ที่สำคัญยังพบอีกว่าหากคนเราดื่มกาแฟเป็นประจำจะทำให้ได้รับสารต้านอนูมูลอิสระอย่างเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายไม่เกิดความผิดปกติกับการออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ

    แต่เนื่องจากมีการสูญเสีย “กรดคลอโรจีนิก”ส่วนหนึ่งไปในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ บริษัทเนสท์เล่(ไทย)จำกัด จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟผงสำเร็จชนิดใหม่ ซึ่งผลิตจาการผสมผสานเมล็ดกาแฟดิบ กับกาแฟคั่วเข้าด้วยกันค่ะ

    วัตถุประสงค์ที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น โดยยังคงกลิ่นหอมและรสของกาแฟดั้งเดิมไว้

    แม้ว่าธรรมชาติจะเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์อายุสั้นลง แต่ทว่าธรรมชาติได้ทำให้คนเราได้ค้นพบความลับ ที่ทำให้สามารถยื้อเวลาและต่อลมหายใจให้อยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างยืนยาวนาน ไร้โรคภัยแถมยังสวยงามไร้ริ้วรอยอีกต่างหากค่ะ

    อย่าลืมดื่มกาแฟ ทางเลือกใหม่ของสารต้านอนุมูลอิสระนะคะ

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •