ย้อนรอยศาสตร์อักษรไทย


ย้อนรอยศาสตร์และศิลป์คนสยาม กับภูมิปัญญาการเขียนอักษรภาษาไทย


ภาษาไทยเป็นวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ประจำชาติ ที่ใช้ในการสื่อสาร
เพื่อสื่อความหมาย และสร้างความเข้าใจของคนในสังคม เป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ที่มีความงดงาม และมีคุณค่าอันสูงยิ่ง
เป็นสิ่งสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติ
ภาษาไทยเป็นภาษาที่งดงาม
ที่มีความสมบูรณ์ทั้งด้านภาษาพูด และภาษาเขียน
สามารถนำเสนอได้ในรูปแบบของร้อยแก้วและร้อยกรอง ในภาษาเขียนที่นิยมใช้ส่วนใหญ่
เป็นลักษณะแบบร้อยแก้ว มีทั้งการเขียนแบบเรียงความ การเขียนบทความ ฯลฯ
แต่การเขียนและการออกเสียงภาษาไทยของเยาวชนไทยในปัจจุบัน
ได้ผิดเพี้ยนไปจากอักขรวิธีของภาษาไทย และขาดทักษะในการเขียน
ภาษาไทยให้ถูกสวยงามตามแบบไทย
โดยเฉพาะการเขียนลายมือที่ผิดไปจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้


อาจารย์เปลื้อง ณ นคร แบ่งประเภทการเขียนลายมือไว้เป็น 3 แบบ คือ


1. เขียนตัวบรรจง หมายถึง เขียนตัวอักษรเต็มบรรทัด (ขนาดตัวหนังสือสูง 8
มิลลิเมตร หรือ 1 เซนติเมตร เป็นอย่างมาก)
จะเริ่มฝึกตั้งแต่นักเรียนเริ่มเรียนหนังสือ ในการการเขียนตัวบรรจง
ตัวอักษรต้องตรง เรียบ การวางสระ วรรณยุกต์ ช่องไฟถูกต้อง



2. เขียนหวัดแกมบรรจง หมายถึง เขียนตัวอักษรครึ่งบรรทัดเล็กน้อย
เป็นการเขียนตามความถนัด ต้องการความรวดเร็ว แต่ยังต้องเขียนตัวอักษรให้เป็นตัว
คือ ตัวอักษรต้องชัดเจน



3. เขียนหวัด หมายถึง การเขียนอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ความประณีตหรือความชัดเจนอะไรนัก



สำหรับรูปแบบของตัวอักษรไทย ที่ใช้กันในปัจจุบัน แบ่งตามลักษณะอักษรได้ 2
ประเภท คือ



1. ประเภทตัวเหลี่ยม มีเส้นตรงเป็นส่วนประกอบได้แก่


- แบบอาลักษณ์ แผนกอาลักษณ์ กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ใช้เป็นแบบคัดของทางราชการ เป็นลายมือไทยที่สวยงาม
ใช้เขียนเพื่อใช้ในงานเกียรติยศต่าง ๆ


- แบบพระยาผดุงวิทยาเสริม (กำจัด พลางกรู) อยู่ในแบบหัดอ่าน
ที่พระยาผดุงวิทยาเสริมเขียนขึ้น คือ แบบหัดอ่านหนังสือไทยภาคต้น แบบหัดอ่าน ก
ข ก กา และหนังสือแบบหัดอ่านเบื้องต้น ซึ่งพิมพ์ขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ.2471, 2473
และ 2476 ตามลำดับ เพื่อใช้ฝึกเด็กให้เขียน
หรือคัดลายมือหลังจากเรียนอ่านพยัญชนะแต่ละครั้ง


- แบบโรงเรียนทุ่งมหาเมฆ คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซึ่งอาจารย์สูริน
สุพรรณรัตน์ อาจารย์ใหญ่ท่านแรกของโรงเรียน ได้นำลายมือของบิดา คือ อาจารย์มงคล
สุพรรณรัตน์ เจ้าของและอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนสุพมาศพิทยาคม (ตรอกวัดราชนัดดา
จ.พระนคร) มาเป็นต้นแบบให้อาจารย์พูนสุข นีลวัฒนานนท์ (ปุณย์สวัสดิ์)
จัดทำเป็นแบบคัดลายมือของโรงเรียนตั้งแต่ พ.ศ.2509


- แบบโรงเรียนสายน้ำทิพย์ คล้ายแบบของพระยาผดุงวิทยาเสริม ซึ่งอาจารย์อุไร
ศรีธวัช ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่ และอาจารย์สูริน สุพรรณรัตน์ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่
ได้ดำริให้ลายมือของครูทุกคนเป็นแบบเดียวกัน
และคณะครูของโรงเรียนได้นำลายมือของอาจารย์มงคล
สุพรรณรัตน์มาดัดแปลงและทำแบบฝึกคัดลายมือของโรงเรียนตั้งแต่
พ.ศ.2510และได้ดัดแปลงลักษณะ ของตัวอักษรอีกครั้งหนึ่งเมื่อ
พ.ศ.2519


- แบบภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คล้ายแบบของพระผดุงวิทยาเสริม เกิดขึ้นจากดำริของศาสตราจารย์อำไพ สุจริตกุล
หัวหน้าแผนกวิชาประถมศึกษา ที่ต้องการให้มีอักษร
ของแผนกวิชาที่ง่ายต่อการฝึกเด็กเขียน
และเพื่อใช้เป็นแบบฝึกลายมือของนิสิตทุกคน
ของแผนกวิชาที่จะนำไปสอนศิษย์เมื่อจบเป็นครูแล้ว


2. ประเภทตัวกลมหรือตัวมน มีส่วนโค้งเป็นส่วนประกอบได้แก่


- แบบขุนสัมฤทธิ์วรรณการ กระทรวงธรรมการใช้เป็นแบบฝึกหัดลายมือ
ของนักเรียนในสมัยก่อน และโรงพิมพ์ต่าง ๆ ใช้เป็นแบบทำสมุดคัดลายมือจำหน่าย


- แบบกระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการได้ดัดแปลงจากตัวอักษรแบบ
ขุนสัมฤทธิ์วรรณการ
เพื่อทำเป็นแบบฝึกหัดคัดลายมือใช้ในโรงเรียนประถมศึกษาของโรงเรียน
รัฐบาลทั่วประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2520


- แบบราชบัณฑิตยสถาน เป็นแบบตัวอักษรตัวกลม ซึ่งราชบัณฑิตยสถานกำหนดขึ้น (ในปี
2540) เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการสร้างตัวอักษรไทยทั้งการเขียน
และการพิมพ์รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการออกแบบ
ตัวอักษรไทยมาตรฐานที่จะใช้ในกิจการคอมพิวเตอร์


- การเขียนเป็นการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารของมนุษย์ในเชิงแสดงออก
โดยที่ใช้ตัวอักษรแทนคำพูด เพื่อให้ผู้อื่นได้รับทราบ และเกิดการตอบสนอง
ตามที่ผู้เขียนต้องการ การเขียนจึงเป็นทั้งศิลป์และศาสตร์อยู่ในตัวเอง
การเขียนเป็นศิลปะที่ต้องประกอบด้วยความประณีต ภาษาที่งดงาม
สามารถสื่อสารได้ทั้งความรู้ ความคิด อารมณ์ และความปรารถนาให้ได้
ซึ่งการใช้ภาษาให้งามนั้น นับเป็นศิลปะชั้นสูงอย่างหนึ่งของมนุษย์
ส่วนที่กล่าวว่าการเขียน เป็นศาสตร์ก็เพราะการเขียนทุกชนิด
ต้องประกอบด้วยความรู้ หลักการวิธีการและทฤษฎีต่าง ๆ
การเขียนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในโลกของการสื่อสารปัจจุบัน
ซึ่งสามารถสรุปความสำคัญของการเขียนไว้ดังนี้


- การเขียนทำให้เกิดความรู้ ความคิด เกิดความเข้าใจกัน
- การเขียนทำให้เกิดอาชีพ และการพัฒนาอาชีพ
- การเขียนทำให้ทราบความต้องการของบุคคลและสังคม
- การเขียนเป็นสื่อทำให้เกิดนันทนาการ
- การเขียนทำให้สังคมสงบสุข
- การเขียนเป็นเครื่องมือแสดงภูมิปัญญาของมนุษย์
- การเขียนหากยึดเป็นอาชีพ
ก็เป็นอาชีพที่ได้รับความยกย่องมากอย่างหนึ่งในปัจจุบัน


ฉะนั้น การเขียนเป็นวิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง
ที่มนุษย์สามารถถ่ายทอดความรู้ ข้อเท็จจริง ความคิด จินตนาการ
ความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ส่วนการเขียนจะมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับ ความสามารถของผู้เขียน
และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นสำคัญ