กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: เรื่องดีๆ ของ กับดักสุขภาพ 6 ประการ(ตอนที่1)

  1. #1
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา
    มิสบ้านมหา 2012
    สัญลักษณ์ของ ติ๊กต็อค
    วันที่สมัคร
    Mar 2007
    กระทู้
    2,065
    บล็อก
    3

    เรื่องดีๆ ของ กับดักสุขภาพ 6 ประการ(ตอนที่1)

    พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้น
    แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับบางกรรมวิธี
    ซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม

    *กับดักสุขภาพประการที่ **1 *

    *ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี* คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ
    ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่า
    หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี
    ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น
    ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละ
    พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี

    คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ
    เกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย
    นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

    เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ
    แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับร่างกาย
    ที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ
    ไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ
    ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ
    ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะ
    นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า
    พร่องพลังไต

    เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ
    ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด
    นานๆเข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น

    แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
    แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว
    ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออก คนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ
    4 แก้ว สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว
    จึงจะแก้สถานการณ์ได้

    ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น
    แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่
    ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก
    แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอ ก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น


    *กับดักสุขภาพประการที่** 2*

    *นอนดึก ตื่นสาย* คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น
    แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์
    เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยาม
    แล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้
    ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า
    หรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด

    ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้ว
    สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี
    นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือนกัน

    เหตุผลเพราะ แท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า
    สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน
    หรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียว ต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน
    เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งานตอนกลางคืน
    แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน

    เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง
    ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน
    เวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน
    ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน
    ทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน
    เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล
    ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกที
    ต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า
    และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ

    การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่า­งกาย
    มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง
    ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน
    ฮอร์โมนทั่วร่างกายก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา
    สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ
    ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน
    ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆวัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก
    นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนใน­ร่างกาย
    เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา

    งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก
    กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอน
    อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้า
    ไปเข้านอน เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย
    พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมด
    ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา

    แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ

    *กับดักสุขภาพประการที่** 3*

    *กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่** **แต่ไพล่ไปดื่มนม* นิตยสาร Time
    ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน
    1999 บอกว่า "Cholesterol-Good News" ยืนยันว่า
    โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง
    90% มีเพียง 10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร
    และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว
    ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก
    Black list ทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้าม
    แหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งท­างสุขภาพ
    ตัวสำคัญได้แก่
    นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter

    ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า
    ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10 ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง
    130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น
    เพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี
    ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี
    รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
    ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า
    6 ปี พูดง่ายๆว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร
    เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่
    แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น

    มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี
    กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทย
    การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง

    ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูง
    กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่
    เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์
    โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วโคเลสเตอรอลไม่สูง
    (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น)
    แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน
    ซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า
    3 และโอเมก้า 6 ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้
    จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย
    เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก

    จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว
    มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม
    กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน
    :heart: ไทอุบล คนเมืองนักปราชญ์:heart:

    http://up.how2phin.com/pictures/a46ce89bb69277bd7b1a2f0912d7cb05.gif

  2. #2
    สงัด903
    Guest
    goodสุดยอดครับ น้องติ๊กต็อก ที่หาสาระดีๆมาสู่กันให้ได้ความรู้...บัดนี่มาเด้อมาอ่านเอา ไผว่ากินไข่แล่วซิเป็น โคเลสเตอรอล กะเข่ามาอ่านเอา ข่อยกะกินไข่ซุมื่อ มันกะคือแซบคือเก่า::)::)::)

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •