..." ไก่ๆ อ้ายสิไปฮอดจักประมาณเที่ยงคืนเด้อ " ...เสียงที่บอกกล่าวจากทางโทรศัพท์ นี้ยังดังกึกก้องอยู่ในหูของฉันตลอดเเม้เวลามันจะผ่านมาเกือบ4 ปีเเล้ว มันเป็นคำบอกจากพี่ชายคนเดียวของฉัน ในวันที่24 มกราคม 2547 เวลาประมาณเกือบๆจะห้าโมงเย็นในขณะที่ฉันเองยังเดินช้อปปิ้ง หาซื้อของที่ถูกใจ ในตลาดนัดขายของเก่าเเห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
โดยความรู้สึกตอนนั้น ประโยคที่ได้ยิน ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันจะได้คุยกับพี่ชายคนเดียวของฉัน
...เรามีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 4 คน พี่ชายคนโต พี่สาว ฉัน เเละก็น้องชาย ในจำนวนพี่น้อง ฉันอายุห่างจากพี่ชายค่อนข้างมาก เเต่เราก็สนิทกันที่สุด ฉันเคยถามเเม่เหมือนกันว่าทำไม พี่ชายถึงอายุห่างจากพี่น้องคนอื่นหลายปี เเม่บอกว่า พี่ชายสุขภาพไม่ค่อยดีมาตั้งเเต่เด็ก เป็นเด็กเลี้ยงยาก ขี้โรค เเม่จึงต้องดูเเลมากเป็นพิเศษ ดีหน่อยที่น้องๆคนอื่นๆตามมาทีหลังช้าหน่อยเเม่ได้ดูเเลพี่อย่างเต็มที่
...พี่ชายของฉันเรียนจบเเค่มัธยมต้น ด้วยความที่พ่อชอบเเละรักในอาชีพช่างยนต์ พี่ชายฉันจึงถุกฝากให้ไปทำงานเป็นช่าง (ซ่อมรถยนต์) อยู่ที่เมืองโคราช บ้านเกิดของพ่อ ตั้งเเต่ฉันเองจำความได้ซึ่งตอนหลังพี่ชายก้ย้ายเข้ามาทำงานที่ กทม. เเละทุกครั้งที่กลับมาบ้าน พี่ชายฉันจะมีขนม มีเสื้อใหม่สวยๆ ยี่ห้อดีๆ ที่เด็กๆแถวบ้านฉันไม่มีใส่มาฝากฉันเป็นประจำ
..ส่วนตัวฉันเอง สิ่งที่ตอบเเทนพี่ชายตอนนั้นก็มีเพียงซักเสื้อผ้า รีดผ้าให้พี่ชายซึ่งในใจจริงเเล้ว ซึ่งสิ่งที่ฉันทำลงไป ส่วนหนึ่งก็หวังอยากได้สิ่งตอบแทนเล็กๆน้อยๆ ตามประสานิสัยของน้องสาวโตเล็กทั่วๆไป ที่เห็นนํ้าใจของพี่ชายใจดี ..

...จวบจนวันที่ฉันต้องเข้าไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็น สวรรค์ของคนมีตังค์ ก็ไม่พ้นพี่ชายฉันอีกนั่นเเหละที่ต้องพาไปหาที่พัก ห้องเช่า เพราะตัวพี่เองต้องพักที่อู่ที่ทำงาน ซึ้งไม่สะดวกนักที่ฉันจะไปพักอยู่ด้วย หอพักสตรีเเถวๆหน้ารามจึงเป็นที่ ที่พี่ชายฉันเลือกที่จะให้อยู่ เเละฝากให้เจ้าของหอช่วยดูเเล
..จนกระทั่งวันเเห่งความภาคภูมิใจ คือวันที่เรียนจบป.ตรีของฉันเเละโชคดีมากที่ฉันได้งานทำทันทีหลังจากที่เรียบนจบ ถึงจะเป็นงานต่างจังหวัดเเต่ค่าตอบแทนไม่สมน้ำ สมเนื้อกับความรู้ที่ร่ำเรียนมา เเละนั่นเเหละคนที่ภูมิใจมากกว่าใครทั้งหมดคือพี่ชายฉันเอง เพราะเงินที่ใช้ลงทะเบียนหรือเเม้เเต่ค่าที่พัก ค่ากิน ฉันเเทบจะไม่เคยขอเเม่เลย ..พี่ชายทั้งนั้น
..หลังจากที่ทำงานได้ปีกว่าๆฉันก็เริ่มมีเงินเก็บขึ้นมาบ้าง เนื่องจากไม่มีภาระใดๆ ซึ่งสิ่งฉันจำได้ตอนนั้นคือ ..เเม่บอกว่า พี่ชายอยากได้รถสักคัน เเต่เงินดาวน์ไม่พอ ไก่ช่วยพี่หน่อยนะ ความรู้สึกตอนนั้นจำได้ว่า...เสียดายตังค์จัง เมื่อไหร่ฉันจะได้คืน ...
..หลังจากนั้น พี่ชายฉันเเต่งงาน มีครอบครัวอยู่ที่บ้าน พี่ชายฉันไม่เคยพุดถึงเงินที่ยืมไปเลย ซึ่งฉันเองก็คิดในใจเเล้วว่า ช่างมันเถอะ ถือว่าให้พี่ ให้หลานละกัน
เเล้ววันที่ฉันคิดไม่ถึงก็มาถึง ก่อนหน้านี้ 2-3 วันพี่ชายพูดถึงเรื่องเงินที่ยืมไป บอกว่าตรุษจีนพี่ได้เเตะเอียเยอะ เดียวพี่คืนไก่ หมื่นนึงก่อนนะ ที่เหลือค่อยว่ากัน
...ความคิดในเเต่เเรกที่คิดว่าจะไม่เอาคืน มันกลับสวนทาง "ได้ก็ดีว่ะ" ไม่รู้ความคิดนี้มาอยุ่ในสมองของฉันตั้งเเต่เมื่อไหร่
แล้ววันที่เฝ้ารอก็มาถึงหลังจากได้รับโทรศัพท์จากพี่ชาย ในใจลึก ฉันคิดว่า .."เย้ มีเงินใช้อีกเเล้วเฟ้ย .. " แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดหลังจากที่เข้านอนได้สักพัก น้องชายคนเดียวของฉันที่ขับรถมาจาก กทม. พร้อมพี่ชายเเละเพื่อนอีก2 คน ขับรถมาถึงบ้านพักของฉัน เเละบอกฉันว่า พี่ชายฉัน ปวดท้องอย่างรุนเเรง จะต้องรีบส่ง รพ.ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งฉันเองก็สะลึมสะลือ อยู่ในอาการง่วงนอน ได่เเต่คิดในใจว่า คงไม่เป็นไรมาก ก็เเค่คนทานเหล้าเเล้วไม่กินข้าวก็ต้องปวดท้องธรรมดา
..จนกระทั่งเวลาประมาณ ตี 3 กว่าๆ น้องชายฉันขับรถมารับที่บ้าน สิ่งที่ฉันอึ้งเเละเเทบเป็นลมทั้งยืน คือ น้องชายบอกว่า พี่จ่างไปจากเราเเล้ว เสียตอนตีสามพอดี ...

...ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ามายืนที่รพ. ห้องเก็บศพตั้งเเต่เมื่อไหร่ ความรู้สึกตอนนั้นคือ ฉันไม่เอาเงินเเล้ว ฉันจะเอาพี่ฉันคืนมา ... ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ..

ผ่านมาเเล้เกือบ4 ปี วันที่ฉันเสียพี่ชายคนเดียว คนที่สร้างอนาคตให้ฉัน คนที่รักฉันมากกว่าสิ่งอื่นใด โดยที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรตอบเเทนเขาเลย ฉันไม่รู้จะบรรยายอย่างไร กับความรู้สึกเสียใจ กับความรู้สึกที่ยากได้เงินคืน โดยไม่คิดถึงว่าสิ่งที่พี่ชายฉันให้ฉันนั้น มันมากกว่าที่ฉันให้เขาเป็นพันเท่า..
นี่เเหละความรัก ..ที่พี่ชายมีให้ฉัน ความรักที่ฉันไม่อาจเรียกมันกลับคืน.......ความรัก  (ที่ไม่อาจจะเรียกคืน)