...ชีวิตนี้มีแต่กำไร ...

มีนิทานเล่าว่าขณะที่ชายสองคนอ้วนผอมเดินทางข้ามเมืองก็ได้พบลา พลัดหลงมาตัวหนึ่งอยู่กลางทาง

ทั้งสองดีใจและตกลงว่าจะนำลาตัวนี้ไปขายที่ตลาดในเมืองที่อยู่ข ้างหน้า
ชายคนผอมรับอาสาทำหน้าที่นี้

ระหว่างที่จูงลาไปยังตลาด ได้พบชายหนุ่มซึ่งถือปลามา ๒ ตัว
ชายคนนี้มีความสนใจลา จึงขอลองขี่ดูก่อน หากพอใจก็จะซื้อ
ก่อนขี่ลาเขาวานชายผอมให้ช่วยถือปลาให้
เขาขึ้นขี่ลาแล้วก็วนไปรอบ ๆ ยิ่งขี่ก็ตีวงกว้างขึ้น สุดท้ายก็ลับหายไป
ชายผอมตามหาลากลับมาไม่ได้ จึงเดินกลับไปหาชายอ้วน
ชายอ้วนเห็นเข้าก็เข้าใจว่าขายลาได้แล้ว จึงถามว่า “ขายได้เท่าไหร่”
“เท่าทุน” ชายผอมตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้
“ไม่ใช่ ๆ ๆ ได้กำไรเป็นปลา ๒ ตัว” ว่าแล้วก็ชูปลาที่ได้รับฝากไว้ให้ชายอ้วนดู
ชายอ้วนอาจโมโหที่สูญเสียลาไป เพราะเงินก้อนใหญ่ที่จะได้จากการขายลานั้นจู่ ๆ ก็หายไป
แต่ชายผอมไม่ได้ทุกข์ร้อนเลย เขาพูดผิดหรือไม่เมื่อเขาบอกว่า “เท่าทุน"
เพราะลาที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นลาที่เขาได้มาฟรี ๆ ที่จริงเขารู้สึกว่าได้กำไรด้วยซ้ำ
เพราะทีแรกนั้นเดินทางตัวเปล่า แต่ตอนนี้ได้ปลามา ๒ ตัวโดยที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย

เมื่อเราสูญเสียไปอะไรก็ตาม เคยคิดบ้างไหมว่าเรา “เท่าทุน”
เพราะเราทุกคนเกิดมาตัวเปล่าเท่านั้น ของที่มีอยู่ทุกวันนี้ล้วนได้มาทีหลังทั้งนั้น
ไม่ว่าเป็นเงิน ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนรัก
อันที่จริงแม้จะสูญเสียอะไรไป แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายอยู่กับเรา
แม้เงินหายไปหมื่นบาท แต่สมบัติอีกมากมายก็ยังอยู่
แม้กิจการจะล้มละลาย แต่ก็ยังมีบ้านอยู่
พ่อแม่คนรักและลูกหลานก็ยังอยู่
ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาความรู้และช่องทางทำมาหากินต่าง ๆ อีกมากมาย
นั่นหมายความว่า เรายัง “กำไร” อยู่

คนที่เคยทำกำไรปีที่แล้ว ๑๐ ล้านบาท แต่มาปีนี้กำไร ๑ ล้านบาท
ถึงกำไรจะหดหายไปมากมาย ก็ยังมีกำไรอยู่นั่นเอง
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเขาจะเลือกมองตรงไหน มองส่วนที่หดหายไป หรือมองส่วนที่ยังมีอยู่
ถ้ามองส่วนที่หดหายไป ก็ทุกข์ แต่ถ้ามองส่วนที่ยังมีอยู่ ก็สุขหรืออย่างน้อยก็เป็นปกติ

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา การมองในแง่บวกช่วยให้เราไม่ทุกข์
เวลาประสบความล้มเหลว เรามองในแง่บวกได้หลายแง่ด้วยกัน
เช่น มองว่ายังดีที่ไม่เสียหายมากกว่านี้
หรือมองว่าเป็นบทเรียนสำหรับปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นในครั้งต ่อไป
ที่สำคัญไม่น้อยก็คือการมองว่าความล้มเหลวนี้มาช่วยเตือนใจไม่ใ ห้ประมาทหรือหลงระเริง
มุมมองอย่างหลังนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ประสบความสำเร ็จอยู่เสมอ
ในทำนองเดียวกันเมื่อถูกตำหนิ แทนที่จะหัวเสีย (ซึ่งแสดงว่า “ขาดทุน”)
เราสามารถเปลี่ยนให้เป็น “กำไร”
ด้วยการมองว่าคำตำหนิดังกล่าวมาช่วยเตือนใจไม่ให้หลงเพลิดเพลิน ไปกับคำสรรเสริญ

ความสำเร็จและคำสรรเสริญนั้นใคร ๆ ก็ชอบ
แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จและได้รับคำสรรเสริญตลอดเวลา
ความล้มเหลวและคำตำหนิเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะเป็นของคู่กัน เมื่อมีความสำเร็จก็ต้องมีความล้มเหลว
เมื่อมีคำสรรเสริญก็ต้องมีคำนินทา
เปรียบเหมือนมีหัวก็ต้องมีก้อย มีหน้ามือก็ต้องมีหลังมือ
นี้เป็นธรรมดาโลก เพราะไม่มีอะไรที่เที่ยง

นักกีฬาที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้แก่ผู้อื่น เพราะสังขารโรยรา
ไม่มีนางงามคนใดครองตำแหน่งไปได้ตลอดชีวิต ไม่นานก็ต้องคืนให้ผู้อื่นไป
เคยเห็นบ้างไหมงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา

อันที่จริงในสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จนั้นก็มีความล้มเหลวแฝงอ ยู่ด้วย
ในทำนองเดียวกันในความงามก็มีความไม่งามแฝงอยู่
ในความหนุ่มสาวก็มีความแก่เฒ่าแฝงอยู่
คนที่ทำอะไรสำเร็จก็ตาม หากทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในที่สุดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว
ทีมฟุตบอลที่ใช้แผนเดิมตลอดเวลา แม้ครั้งแรก ๆ จะชนะ แต่ในที่สุดก็ต้องปราชัยจนได้
เพราะไม่มีวิธีใดที่ใช้การไปได้ตลอด ไม่ว่าจะมีรูปร่างสวยงามหรือหล่อเหลาเพียงใด
ถ้าไม่อาบน้ำชำระร่างกายนาน ๆ ความน่าเกลียดก็ปรากฏให้เห็น
เด็กที่เพิ่งคลอดก็ถือว่าแก่เมื่อเทียบกับทารกในครรภ์

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ
ความงามคือความไม่งามที่ยังไม่ปรากฏ
และความหนุ่มสาวคือความแก่เฒ่าที่ยังไม่ปรากฏ

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามนั้นที่จริงไม่ได้อยู่แยกจา กกันเลย
หากอยู่ด้วยกัน และมาคู่กัน
ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่ได้รับความสำเร็จหรือประสบสิ่งที่น่ าพึงพอใจ

ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดาของโลกย่อมไม่หลงระเริงหรือประมาทตายใจ
เพราะตระหนักดีว่าความล้มเหลวหรือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนั้นไม่ช ้าก็เร็วย่อมบังเกิดขึ้นแก่ตน
และเมื่อถึงคราวที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ไม่ทุกข์ เพราะเตรียมใจไว้แล้ว

ความทุกข์เกิดขึ้นกับเราก็เพราะไม่รู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตที่ มีความแปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ
เวลาได้รับคำสรรเสริญชื่นชมก็ดีใจได้ปลื้ม แต่พอถูกตำหนิติเตียนก็ย่อมเฉียวฉุนขุ่นเคืองเป็นธรรมดา
ใครที่สงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เวลามีคนตำหนิ
คำตอบก็อยู่ตรงนี้เอง นั่นคือเวลามีคนชมก็อย่าไปหลงใหลได้ปลื้ม
ให้ระลึกว่าเมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา ไม่มีใครที่ได้รับแต่คำชื่นชม
แม้แต่คนที่เคยชื่นชมเราก็อาจหันมาตำหนิได้

ถ้าเตรียมใจไว้ได้เช่นนี้ ถึงเวลาที่คำตำหนิพุ่งมาหา ก็ทำใจเป็นปกติได้
และถ้ารู้จักมองให้เป็นบวก ก็จะได้ประโยชน์เป็น “กำไร”
เช่น มองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีอะไรที่เราจะนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขตัว เองได้บ้าง
หรือถือเป็นเครื่องย้ำเตือนตนเองธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้เอง

ถ้าเตรียมใจรับมือกับคำตำหนิและความล้มเหลวอยู่เสมอ
เมื่อประสบกับความสูญเสียพลัดพรากหรือเหตุร้ายที่รุนแรงยิ่งกว่ านั้น
เช่น ป่วยหนัก เราก็มีภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์ครอบงำจิตใจได ้มากนัก
แม้ทีแรกอาจเศร้าโศกเสียใจ แต่ไม่นานก็จะตั้งตัวได้
แต่นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องระลึกไว้เสมอด้วยว่า
สิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่นั้น ไม่ว่า ทรัพย์สมบัติ สุขภาพ ครอบครัว
สามารถแปรเปลี่ยนพลิกผันไปได้ตลอดเวลา
อย่าไปเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นจนลืมตัว
ถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเรากำลังตกอยู่ในความประมาทแล้ว


++++++++++++++++++++++++++++++++++

โดย... พระไพศาล วิสาโล