เหตุใดจึงต้องศึกษานักการศึกษาชาวอเมริกันท่านหนึ่ง
ได้กล่าวไว้ในพจนานุกรมของเขา ในปี2371 ว่า ศึกษาหมายถึง “ใช้จิตใจ อ่าน และตรวจสอบเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจ”
เหตุใดคนเราจึงต้องศึกษาถ้าคนเราตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดเราจึงศึกษาสิ่งใดสิ่งหนึ ่ง เราก็จะไม่สามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์จากการศึกษาสิ ่งนั้นได้เลย

นักเรียนบางคนเรียนไปจนจบหลักสูตร แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ไ ด้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเรียนเพียงแค่ให้สอบผ่าน แต่ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะนำข้อมูลนั้นความรู้นั้นไปป ระยุกต์ใช้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเหล่านั้นจึงนำสิ่งที่เรียนไปป ฏิบัติใช้จริงไม่ได้หลังจากที่จบการศึกษา

อุปสรรคแรกของการศึกษาของคนเราคือ ความคิดที่ว่า “ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว” คนที่คิดว่าตัวเองรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับเรื่องใดเ รื่องหนึ่ง เช่นเรื่องของสมาธิ เขาจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใดเกี่ยวกับสมาธิได้เลย
คนประเภทนี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่า มีอะไรบ้างที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับสมาธิ
ถ้าเราถามเขาว่า เขาเต็มใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสมาธิหรือไม่ เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเรา นั่นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้ เนื่องจากเขามีความคิดที่ผิดๆที่ว่าเขารู้ทุกอย่างเก ี่ยวกับเรื่องสมาธิแล้ว

ในวิชาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม สิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องรู้คือ อุปสรรคแรกที่ต้องเอาชนะให้ได้คือ
“ท่านจะศึกษาไปทำไม หากท่านเริ่มต้นด้วยความคิดว่าท่านรู้เกี่ยวเรื่องนั ้นหมดแล้ว” ตัวอย่างเช่น มีช่างภาพชื่อดังของอเมริกาท่านหนึ่ง ได้สมัครเรียนวิชาถ่ายภาพทางไปรษณีย์ โดยคิดว่าเขาอาจจะได้เรียนรู้เคล็ดลับในการถ่ายภาพขึ ้นมาอีกนิด เขาเป็นช่างภาพที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ งานของเขาได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อดังตลอด แต่พอเริ่มเรียนได้แค่สามอาทิตย์เขาก็ติดอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวหน้า จนต้องพักไว้ก่อน ต่อมาเขาได้พิจารณาหลักสูตรการถ่ายภาพนี้อีกครั้ง และได้ตระหนักว่า หลักสูตรนี้คลอบคลุมหลักพื้นฐานและหลักการเบื้องต้นท ี่สำคัญอย่างยิ่งของวิชาการถ่ายภาพ ซึ่งเขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีอยู่ในวิชานี้

เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมจึงมีการถ่ายภาพเกิดขึ้นต ั้งแต่ครั้งแรก
แล้วเขาก็เข้าใจว่า เขาหลงตัวเองมากเกินไป จริงๆเขาไม่ได้รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องเรียนรู้

ฉะนั้นถ้าคนเราสามารถเล็งเห็นได้ว่า เราไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับวิชาหนึ่งวิชาใ ด
หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งและบอกตัวเองว่า “นี่ไง สิ่งที่ฉันต้องการอยากรู้ ฉันเรียนและศึกษามันดีกว่า” คนๆนั้นก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคการเรียนรู้ได้และสาม ารถเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มเติมได้

และนี่คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง ซึ่งทุกคนจะต้องรู้ และนำสิ่งที่รู้ไปประยุกต์ใช้ และประตูแห่งความสำเร็จก็จะเปิดกว้างสำหรับคนนั้นๆอย ่างแน่นอนค่ะ

การ เรียน วิชาสมาธิ ไม่ใช่แค่ทำให้จิตใจสงบสุข ได้เท่านั้น แต่ต้องเอามาประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้

นั่นคือต้องเอาความสงบสุขที่ได้ มาทำให้เกิดปัญญา เกิดความคิดอ่านที่แตกฉานเป็นเหตุเป็นผล แยกแยะ และเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันว่า เป็นมาและเป็นไปอย่างไร ที่สำคัญ ต้องเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองให้มากๆ มีความเป็นมิตรที่ดี ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่จับผิด ไม่นินทาว่าร้าย ไม่คิดว่าตัวเองมีความสุขแล้วไม่สนใจความสุขของคนอื่ นผู้คนรอบข้าง

เพราะถ้า เมื่อใดคุณคิดเช่นนี้ ความสุขของคุณจะต้องถูกกระทบอย่างแน่นอน เพราะว่าคุณอยู่ในสังคม ที่มีคนเหล่านี้แวดล้อมคุณอยู่ สักวันหนึ่ง หรือสักหนหนึ่ง คนเหล่านี้จะต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทบกับความสุ ขของคุณ แล้วเมื่อนั้นคุณก็จะไม่มีความสุขอีกต่อไป

ฉะนั้นเมื่อคุณมีความสุขแล้วก็ต้องทำให้คนที่อยู่รอบ ข้างคุณหรือสังคมของคุณมีความสุขไปด้วย แล้วเมื่อนั้นจะพบว่าโลกนี้มันน่าอยู่มองไปทางไหนก็จ ะแต่ความสงบสุขความเข้าใจกัน

เหมือนดังกับการทำสมาธิได้สะสมพลังจิต ทำให้จิตใจเราสงบสุข เมื่อเราพบกับความสุขแล้ว ก็อย่าลืมช่วยแนะนำให้คนรอบข้างเราทำสมาธิ เขาจะได้มีความสุขไปด้วยกับเรา ไม่ต่างกัน