Sin & sad…วิถีแห่ง “ชู้” ในสังคมไทย


ลุงรัน



“ผมดูหนังหลายๆ เรื่อง (เพราะเกี่ยวกับงานที่ทำส่วนหนึ่ง) มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า หนังที่เกี่ยวกับ affair แทบทุกเรื่องมักมี “ฉากฝนตกหนักหน่วง” และ “ลมแรง” …
การนอกใจหมายถึงลมที่พัดแรง เท่า ๆ กับที่การมีชู้หมายถึง ฝนตกหนัก ผมว่า เมื่อเมฆตั้งเค้า และใครมองเห็นฟ้าครึ้มมาแต่ไกล เราทุกคนสามารถเลือก “การอยู่บ้าน” ได้ทั้งนั้น
นันทขว้าง สิรสุนทร จากหนังสือ “คนรักของคนรัก” My lover’s lover

ห่าฝนมหึมาและพายุที่รุนแรง
หากการนอกใจหรือการมีชู้หมายถึง “ฉากฝนฟ้าที่ตกหนักหน่วง” และ “ลมแรง” ในภาพยนตร์เป็นความจริง ดังคำกล่าวของนันทขว้าง สิรสุนทร แล้วล่ะก็ เราอาจกล่าวได้ว่า ฝนฟ้าที่ตกหนักและลมที่พัดแรงในความหมายที่ว่าได้แปรเปลี่ยนเป็น “ห่าฝนมหึมา” และ “พายุที่รุนแรง” และมันกำลังโหมกระหน่ำอยู่เหนือฟากฟ้าของสังคมไทย ณ เวลานี้…

ทั้งนี้ เมื่อราวกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากข้อมูลของสำนักทะเบียนกรมการปกครองได้ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการจดทะเบียนหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้นทุกๆปี ในปี 2536 มีการจดทะเบียนหย่าเป็นจำนวนถึง 46,953 คู่ ขณะที่ ในปี 2546 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 80,886 คู่ ที่น่าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งก็คือ ข้อมูลดังกล่าวมีส่วนสัมพันธ์กับผลการสำรวจพฤติกรรมของคู่สมรสที่นำมาสู่การแยกทางกัน ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักวิจัยเอเเบค โพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งได้ระบุว่า สาเหตุประการสำคัญอันดับ 1 ทีทำให้คู่สมรสแยกทางกัน เกิดมาจากเรื่องชู้สาวหรือการนอกใจคู่ของตน คิดเป็นอัตราตัวเลขถึง 74.9 %
ดังนั้น ปัญหาเรื่อง “ชู้” จึงได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณะที่เราทั้งหลายควรได้ทำการศึกษาและทำความเข้าใจในมิติต่างๆ ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ เงื่อนปมของปัญหา ผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งมิติต่างๆ อย่างถ่องแท้ต่อไป

(อนึ่ง… ในบทความชิ้นนี้จะเพ่งพินิจไปที่การนอกใจของฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย เนื่องจากว่าสภาวะการณ์ดังกล่าวถือเป็นอุบัติการณ์ใหม่ที่มีความลึกลับชวนให้ค้นหา อีกทั้งยังส่อเค้าว่าจะลุกลามต่อไปในทุกขณะจิต ขณะที่ปัญหาการนอกใจของฝ่ายชายดูจะกลายเป็นเรื่องชินชาไปเสียแล้วสำหรับบ้านเมืองนี้)

จากอโฟรไดท์ สู่เข็มขัดกันชู้ของขุนศึกโรมัน และพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น
ในมิติทางด้านประวัติศาสตร์ พบว่าเมื่อหลายพันปีก่อนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric Age) เรื่องราวเกี่ยวกับ “ชู้” ปรากฏอยู่ในตำนานหมู่เทพและเทพีของกรีกและโรมัน ได้มีการจารึกไว้ว่า องค์เทพีอะโฟรไดท์ คือ เทพีแห่งความรักที่จริงใจ ความรักที่ศักดิ์สิทธิ์ การสมรส และที่สำคัญยังเป็น เทพีแห่งการนอกใจ ตำนานยังบอกเอาไว้ด้วยว่า อะโฟรไดท์ มักจะใช้ผ้าคาดเอวของเธอมัดใจสามี เฮเฟสทัส เพื่อขอให้เขายกโทษให้ เพราะเธอมักจะไปมีอะไรกับชายชู้ของเธอเสมอ

นอกจากนี้ ในมหากาพย์เรื่อง อีเลียด (Iliad) ของมหากวี โฮเมอร์ (Homer) ที่มีชีวิตอยู่ในราวเกือบหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาลก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของมหาสงครามชิงเมืองทรอย (Troy) (ไฮน์ริช ไชลมันส์ เป็นผู้ค้นพบกรุงทรอยว่ามีอยู่จริง โดยตั้งอยู่ที่บริเวณ Hissarlik บริเวณช่องแคบดาร์ดาเแนลส์ ในตุรกี : ผู้เขียน) สาเหตุของสงครามที่นำไปสู่ความวิบัติของกรุงทรอยอันยิ่งใหญ่ เกิดมาจากเรื่องราวชู้สาวระหว่างเจ้าชายปารีส กับเจ้าหญิงเฮเลน มเหสีโฉมงามของเมเนเลอุส ผู้ครองกรุงสปาร์ตา

ต่อมาในยุคสมัยของอาณาจักรโรมัน ก็พบว่ามีการบันทึกเรื่องราวในลักษณะนี้อีกเช่นกัน อย่างที่ทราบกันดีว่า การศึกสงครามในยุคโบราณมักจะกินเวลานานมาก บางครั้งรบกันเป็นแรมปี ด้วยกังวลว่าภรรยาจะลักลอบมีชู้ ขุนศึกสมัยโรมันได้ทำเข็มขัดนิรภัยชนิดหนึ่งขึ้นมาและเรียกมันว่า เข็มขัดกันชู้ ซึ่งทำจากเหล็ก สำหรับให้ภริยาของตนเองได้สวมใส่ปิดบังอวัยวะเพศเอาไว้ ก่อนที่ตนเองจะออกศึก ขุนศึกที่เป็นสามีจะนำเอาลูกกุญแจติดตัวไปด้วย เข็มขัดกันชู้ดังกล่าวยังมีให้ชมกันอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ในยุโรปหลายประเทศ

และในปีค.ศ. 1927 มีรายงานด้วยว่า พาร์ทเนอร์ในญี่ปุ่นนิยมใช้เข็มขัดลักษณะคล้ายแต่เรียกมันว่า เข็มขัดพรหมจารี (Chastity Belt) เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ถูกล่วงเกินทางเพศจากลูกค้าในกรณีที่เจ้าตัวไม่ยินยอมพร้อมใจ นอกจากนี้ ในกลุ่มของสามีขี้หึงในยุคเดียวกันนั้นต่างก็ควักเงินออกซื้อเข็มขัดพรหมจารีให้กับภรรยาของตนเองไว้ใช้เช่นเดียวกัน (นเรศ นโรปกรณ์, 2516, น.17-24)

“ชู้” ในสไตล์ไทยโบราณ
ในส่วนของประเทศไทย นอกจาก จะได้รับรู้เรื่องราวทำนองนี้ผ่านทางวรรณกรรมเรื่องต่าง ๆ เช่น ขุนช้างขุนแผน หรือกากี ในกฎหมายตรา 3 ดวง หมวดพระราชบัญญัติ มาตรา 18 ก็มีการบันทึกเรื่องราวทำนองนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในช่วงรัชกาลที่ 1 คุณหลวงอุดมจินดาซึ่งเป็น “ราชบัณฑิต” สมัยรัชกาลที่ 1 มีเมียทาสชื่อ อีเขียว ถูกคุณหลวงบังคับให้ไป “รับจ้าง” แบกข้าวให้นายบุญรอด แต่อีเขียวกลับไป “เล่นชู้” กับนายบุญรอดแทน จนคุณหลวงตามไปดูจึงจับได้คาหนังคาเขา ต่อมาจึงได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หวังจะได้ค่าปรับจากนายบุญรอด คดีนี้ไปสิ้นสุดที่พระเจ้าอยู่รัชกาลที่ 1 ซึ่งมีพระราชวินิจฉัยออกมาดังนี้ คือ คุณหลวงอุดม ฯ ให้ “เมียทาส” คือ อีเขียวไปรับจ้างทำงานถือเป็นการ “เลี้ยงไม่เป็นธรรม” มีความผิดเพราะ “เหมือนเอาดอกเบี้ยรายวัน” จากเมียตนเอง ถือว่าไม่ถูกต้องมาแต่ต้น ถ้าเมียมีชู้เพราะเหตุนี้ จะฟ้องร้องไม่ได้เลย ธาวิต สุขพานิช (2544, น. 70)

คำให้การของ “ชายชู้” ในหน้าเวบบอร์ด
อินเตอร์เน็ตที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการรับรู้เรื่องราวอันอื้อฉาวที่เรียกว่า “ชู้” ได้เป็นอย่างดี
เวบไซต์ : webboard- http://www.thaimental.com

หัวข้อกระทู้ : ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอ ไม่มีความสุขในชีวิตคู่….เธอมีลูกและยังไม่ได้แยกทาง…เราเลวทั้งคู่ใช่ไหมครับ?
ชื่อเจ้าของกระทู้ : ชายชู้…ที่รู้ตัวว่าเลว
เวลา : 22.00 น. 8 กุมภาพันธ์ 2547
ข้อความ: ไม่รู้ว่าอะไร…ที่ทำให้เราต้องมาเจอกัน ผมอายุ 35 ปี ทำงานด้านบันเทิงในตำแหน่งผู้บริหารฯ …เป็นที่ยอมรับทางสังคมในด้านบุคลิกภาพและความรู้…วันหนึ่งเธอเข้ามาสมัครงานในตำแหน่งเลขาฯ(ผู้ช่วย) ผม …ความใกล้ชิด ทำให้เราเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน รู้กันอยู่ว่า เธอมีครอบครัวและลูก 1 คน สามีเธอเหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน แต่ต้องทนอยู่ด้วยกันเพราะทั้งสองรักลูกมาก…ผมกับเธอรักกัน...ผมสงสารเธอ…ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เธอแยกจากครอบครัว เพราะจะทำให้เด็กอาจมีปัญหาขึ้นมาได้ แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารเธอที่ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่รัก … ทุกวันนี้เราทั้งสองคนทรมานมากและหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้…บางครั้งผมอยากจะแยกจากเธอ แต่ด้วยงานเราก็ต้องเจอกันทุกวันทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกันทุกวัน ไอ้ครั้นจะสร้างฝันรอให้เธอเลิกกับครอบครัว ก็เป็นการฝันที่รอวันทำลาย

ลืมบอกไปครับ…เราสองคนมีสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ที่เรียกว่า “ชู้ครับ” ใครที่มีประสบการณ์ หรือมีแนวคิดดีๆ ลองแลกเปลี่ยนกันดูจะขอบคุณมากครับ..ตอนนี้ผมทรมานมากครับ ขอบคุณครับ …

สาเหตุของการมี “ชู้” ในมุมมองของประวัติศาสตร์
นงพงา ลิ้มสุวรรณ จิตแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวถึงสาเหตุที่ภรรยานอกใจสามีสรุปได้ว่า เกิดจาก
1. สามีไม่สนใจจิตใจของภรรยาว่าเป็นอย่างไร ไม่สนใจว่าภรรยามีความสุขหรือไม่
2. สามีชอบพูดตำหนิติเตียน บ่นว่า อบรมสั่งสอนเหมือนลูกคนหนึ่ง
3. สามีไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้เวลาภรรยามีปัญหา สามีไม่รับฟังแต่ชอบตัดสิน
4.สามีไม่ให้เกียรติหรือยกย่องภรรยา
5. สามีหึงหวงมากจนน่าเบื่อหน่ายและขาดอิสรภาพ ภรรยารู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ
6.สามีตระหนี่ถี่เหนียวจนภรรยารู้สึกแร้นแค้นอึดอัด
7. สามีพูดจาดูถูกภรรยาต่างๆ ทำให้บาดเจ็บทางจิตใจ
8.สามีพูดทำนองขับไล่ภรรยาโดยเฉพาะภรรยาที่ต้องพึ่งพาสามีทางด้านการเงิน ซึ่งไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว
9 .สามีทำตัวเป็นภาระอย่างมาก ทำให้ภรรยารู้สึกเหมือนทาส
10. สามีใช้ชีวิตนอกบ้านมากโดยไม่สนใจครอบครัว
11.สามีเจ้าชู้มีผู้หญิงอื่นตลอดเวลา ภรรยาต้องการแก้แค้น
12. สามีคอยขัดใจภรรยา ไม่ยอมตามใจแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
13. สามี “บ้างาน” ทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
14. สามีทำร้ายทุบตีภรรยาและลูก
15. สามีไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัว ภรรยาต้องเป็นผู้หาเลี้ยง
16. ภรรยาจะรู้สึกว่าสามีเป็นคนเห็นแก่ตัว และเอาเปรียบมาก และข้อสุดท้าย
17. สามีติดนักร้อง ติดหมอนวด ติดการพนัน ติดเหล้า ติดยา ฯลฯ

ทว่านงพงา ลิ้มสุวรรณ ได้กล่าวยอมรับว่า ในหลายกรณีของการมีเล่นชู้นั้นเกิดจากการมักมากในกามรสของฝ่ายหญิงเช่นกัน
“อย่างไรก็ดี แต่จะมีผู้หญิงหรือภรรยาอีกประเภทหนึ่งที่ออกไปทาง “เจ้าชู้” คล้ายผู้ชายที่เจ้าชู้คือต้องการแสวงหาความตื่นเต้นทางเพศเหมือนกัน ผู้หญิงกลุ่มนี้จะไปแสวงหาตามสถานที่อีกแบบหนึ่ง เช่น คลับ บาร์ สถานเริงรมย์อื่น ๆ หรือใช้บริการโสเภณีชาย หรือเลี้ยงเด็กหนุ่ม ๆ ที่ฐานะด้อยกว่าไว้เป็นสามีลับหรือสามีน้อย”

จากสาเหตุทั้ง 17 ประการที่กล่าวมา วิเคราะห์ได้ว่า แม้แต่ในปัจจุบัน สามีไทยยังคงเป็นปฏิบัติต่อภรรยาประดุจ “ทาส” ไม่แตกต่างไปจากอดีตกาล สะท้อนได้จากสาเหตุการมี “ชู้” ของภรรยาในข้อที่ 9 . ที่ระบุว่า สามีทำตัวเป็นภาระอย่างมาก ทำให้ภรรยารู้สึกเหมือนทาส และในข้อที่ 14.ที่ระบุว่าสามีทำร้ายทุบตีภรรยาและลูก สาเหตุทั้งสองประการเป็นสภาพการณ์ที่คล้ายคลึงกับค่านิยมในอดีต ดังที่ได้ปรากฏในกฎหมายโบราณบางมาตรา ที่ระบุเอาไว้ว่า ผัวขายเมียได้ แต่เมียขายผัวไม่ หรือ ให้ผัวดุด่าว่ากล่าวและลงไม้ลงมือได้ตามสมควร (แต่ห้ามรุนแรงถึงบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต) พร้อมกันนี้ยังให้สิทธิต่อชายผู้ผัวในอันที่จะขายเมียไปเป็น “ทาส” เลยก็ย่อมได้

สรุปได้ว่าสังคมไทยในอดีตได้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกรอบแนวคิดอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ในระดับหนึ่ง และได้ส่งทอดแนวคิดดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งร่องรอยความคิดดังกล่าวก็ยังคงอยู่ มิได้จากไปไหน สะท้อนได้จากสาเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สภาวะความกดดันทั้งหมด ก่อให้เกิดการสั่งสมความหวาดกลัว เจ็บแค้น และโกรธเคืองในหญิงไทย รอการระเบิดทางอารมณ์เพื่อตอบโต้ฝ่ายชาย
กอปรกับในระยะไม่กี่สิบปีนี้ แนวคิดสิทธิสตรี(women’ rights) ที่ถือว่าหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันกับชายจากประเทศในโลกตะวันตกได้บ่าไหลท่วมเข้าสู่ประเทศไทย อีกทั้งสถานะภาพของหญิงไทยในเรื่องการศึกษาและการงานดีขึ้น และแล้ววิธีการตอบโต้การกระทำของชายไทยของหญิงไทยจึงค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นตามลำดับและชัดเจนยิ่งจากกรณี “การคบชู้สู่ชาย” ของหญิงไทย ในทำนองที่ว่าเมื่อผู้ชายมีเมียน้อยได้ทำไมผู้หญิงจะมี “ชู้” ไม่ได้ ในเมื่อทั้งชายและหญิงในปัจจุบันต่างเสมอภาคกัน

“การคบชู้” ภาพสะท้อนของกลุ่มชนเหยียดชีวิต (Cynicnism) ในสังคมวัตถุนิยมของไทย
หากวิเคราะห์ในบริบทของสังคมปัจจุบัน เราจะพบด้วยว่า นอกจาก “การคบชู้” นอกจากจะเป็น การตอบโต้กรอบแนวคิดอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ในสังคมไทยแล้ว ในอีกนัยยะหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวยังอาจเป็นการสะท้อนภาพกลุ่มชนเหยียดชีวิต (Cynicnism) ในสังคมวัตถุนิยมของไทยที่กำลังก่อตัวขึ้นได้อีกด้วย
อย่างไม่ต้องอาศัยการอ้างอิงใด เป็นที่ยอมรับกันว่า สังคมไทยในเวลานี้ได้ถูกครอบงำจากลัทธิวัตถุนิยม (Materialiam) ซึ่งมีความหมายว่า การที่คนเราแสวงหาความสุขจากวัตถุสิ่งของมากกว่าความสัมพันธ์ ความผูกพันทางใจ ทำให้สิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจถูกลดความสำคัญลง ทั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม สภาพดังกล่าวสอดคล้องกับที่ โรเบิร์ท โอเวน (Robert Owen) นักรัฐศาสตร์ตะวันตกกล่าวระบุว่า “สังคมได้ให้ความสำคัญกับเครื่องจักรกลและปัจจัยการผลิตมากเกินไป จนกระทั่งไม่มีเวลาเอาใจใสสุขภาพ ร่างกายและจิตใจมนุษย์”
สภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนตกอยู่ในวัฏจักรวังวนของชีวิตที่จำเจน่าเบื่อหน่าย วันเวลาผ่านไปกับการใช้เงินและหาเงิน ลุ่มหลงอยู่กับวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม เพื่อผ่อนคลายภาวะความกดดันของตนเอง ดังนั้น “ทางออก” ของชีวิตผู้คนที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น จึงเป็นไปในทางวิปริตและผิดศีลธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่ไยดีกับกฎเกณฑ์ ศีลธรรมและศาสนา ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือแนวทางของกลุ่มคนที่เรียกกันว่า พวกเหยียดชีวิต (Cynicism) กลุ่มคนที่เลิกเชื่อมั่นในความจริงใจของผู้คน และเมื่อทำการพิจารณาไปที่ประเด็นของการมี “ชู้” ในสังคมไทยปัจจุบัน สิ่งนี้ถือเป็นการผิดศีลธรรมและพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง และเป็นอีกหนึ่ง “ทางออก” ของผู้คนในสังคมไทยโดยเฉพาะในกลุ่มของเพศหญิง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปลดปล่อยสภาวะความกดดันจากสังคมในปัจจุบัน

สิ่งนี้ยืนยันได้จากผลการสำรวจของสำนักวิจัยเอเเบค โพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เกี่ยวกับพฤติกรรมของคู่สมรสที่นำมาสู่การแยกทางกันดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น นอกจากจะระบุสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดการแยกทางกันอันเนื่องมาจากเรื่องชู้สาวหรือการนอกใจคู่สมรสของตนแล้ว ผลการสำรวจดังกล่าวยังพบอีกด้วยว่า ในส่วนของกลุ่มคนนอกใจคู่ของตนนั้น ในเรื่องของหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ใช้สำหรับการครองเรือน พบว่า มีตัวอย่างถึงร้อยละ 91.6 ที่ระบุว่า ไม่ทราบในเรื่องหลักธรรมคำสอนเหล่านี้
สิ่งนี้สอดคล้องกับบุคลิกลักษณะประการหนึ่งของพวกเหยียดชีวิต นั่นก็คือ การปฏิเสธกฎเกณฑ์ ศีลธรรมและศาสนา นั่นเอง !

ลูก “แพะที่ต้องรับบาป” ใน “สงคราม” ที่ตนเองไม่ได้ก่อแต่ต้องชดใช้

เมื่อปัญหาเรื่อง “ชู้” เกิดขึ้นในชีวิตสมรส การทะเลาะเบาะแว้งของคู่สามีภรรยากลายเป็นเรื่องที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ในบัดดล หากคู่สามีภรรยานั่น ไม่มีลูกด้วยกัน ปัญหาก็ยังจะคงทิ้งขอบเขตอยู่ที่คนสองคน แต่ในกรณีที่เกิดมีสมาชิกตัวน้อยด้วยกัน “แพะที่ต้องรับบาป” จะไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น นอกจากลูกๆ ของพวกเขาเอง ยิ่งในเด็กเล็กด้วยแล้ว ยิ่งจะอ่อนไหวต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับที่รุนแรงมากขึ้นไปอีก

จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น อธิบายถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเหล่านี้ ว่า
“โดยทั่วๆ ไปแล้วเด็ก ๆ ต้องการความรัก ความอบอุ่น การที่พ่อแม่มีแต่การทะเลาะกัน ยากมากที่พ่อแม่จะให้ความรัก ความอบอุ่น ความสม่ำเสมอ ความคาดการณ์ได้กับลูก เพราะฉะนั้น ลูกเหมือนอยู่ในภาวะที่เหมือนกับสงคราม อันนี้อาจจะเห็นภาพชัดขึ้น เพราะคนที่อยู่ในสงคราม ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ ในเมื่อคาดการณ์ไม่ได้ ความหวั่นไหว ความหวาดหวั่น ความเชื่อมั่นในตัวเอง ย่อมเกิดขึ้นได้ยากครับ และเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีแต่สงคราม เราคาดการณ์ได้ว่า โตขึ้นต้องเป็นเด็กที่สุขภาพจิตไม่ดีแน่ คงจะเป็นเด็กที่ขาดความยืดหยุ่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดการมองโลกในแง่ดี ขาดการมองตนเองในแง่ที่ดีได้ครับ”

จอม ชุมช่วย ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจอีกด้วยว่า อัตราการหย่าร้างในปัจจุบันที่อยู่ที่ตัวเลข 80,000 คู่ต่อปี ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดคิดเป็นร้อยละ 80 ที่ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า single parent (ภาวะการเป็นทั้งพ่อและแม่แต่เพียงผู้เดียว) ในสังคมไทย และผู้ต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ บรรดาลูกๆ ของคู่หย่าร้าง โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุ 3-5 ปี บางครั้งเขาจะคิดถึงตนเองเป็นหลัก เกิดปัญหาความซึมเศร้าเบื่อหน่าย ไม่อยากไปโรงเรียน เด็กเล็กวัยอนุบาลเหล่านี้ก็สามารถมีความซึมเศร้าได้เหมือนกัน แต่พฤติกรรมที่แสดงออก อาจจะเห็นได้ไม่ชัดเท่ากับผู้ใหญ่ เด็กอาจจะมีพฤติกรรมถดถอย พูดคุยไม่เหมือนเดิม

คำพูดดังกล่าวถูกยืนยันให้เป็นจริง โดย Hindelang นักสังคมวิทยาชาวตะวันตกที่ได้ระบุไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Social Problem โดยได้ยกเอา ทฤษฎีควบคุม (control theory) ทฤษฎีทางสังคมวิทยาที่ว่าด้วยเรื่องของความรู้สึกผูกพัน (attachment) โดยเฉพาะในเรื่องของความผูกพันต่อบิดามารดา (attachment to parents) กล่าวคือ การที่เด็กวัยรุ่นที่มีความผูกพันกับบิดามารดามากเท่าใด จะมีโอกาสที่จะกระทำผิดได้น้อยลง เพราะการรู้สึกรักใคร่ผูกพันกับบิดามารดาของเด็กจะเป็นองค์ประกอบย่อยอันหนึ่งในการป้องกันการกระทำผิด ในขณะเดียวกันถ้าชีวิตในครอบครัวไม่มีความสุข เด็กจะออกมานอกบ้าน ซึ่งนำไปสู่การกระทำผิดได้
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การหย่าร้างของคู่สมรสซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เยื่อสายใยของความรักความผูกพันในครอบครัวขาดสะบั้นลง ย่อมส่งผลกระทบต่ออนาคตและชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้อย่างแน่นอน และสิ่งนี้จะทำให้บรรดาเด็กๆ ที่ไม่เคยรับรู้กับเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ได้เป็นผู้กระทำขึ้น กลายเป็น “แพะรับบาป” ไปในทันที

บทสรุป
หากเรายอมรับว่า กรณีที่ฝ่ายชายได้กระทำการนอกใจภรรยาในนิยามของการมี “อนุภรรยา” หรือ “เมียน้อย” นั้น ได้ก่อให้เกิดความรุ่มร้อนร้าวฉานภายในครอบครัว และเป็นปัจจัยสำคัญในอันที่จะเสือกไสไล่ส่งให้บรรดาลูกๆ ให้ต้องก้าวถลำร่วงหล่นลงสู่หุบเหวแห่งความชั่วร้ายแล้วล่ะก็ เช่นเดียวกันกับกรณีปัญหาการลักลอบเล่น “ชู้” ของฝ่ายหญิง ก็จะส่งผลกระทบดังกล่าวนี้ต่อเด็กๆ เหล่านี้ ในระดับความรุนแรงที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

เคยได้ยินใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงใช้ชีวิตในวันนี้ให้มีความสุขราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป” สิ่งนี้มิใช่เรื่องแปลก หากใครจะยึดมั่น ศรัทธาและดำเนินชีวิตเช่นประโยคที่ว่ามาแต่พึงสังวรณ์เอาไว้ด้วยว่า ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยปรากฏเลยว่าความสัมพันธ์ “ชู้สาวที่ผิดครรลอง” คู่ใดจะจบลงด้วยความรอยยิ้มอันอิ่มสุขของทุกฝ่ายแต่ประการใด จะมีก็แต่เพียงฉากจบที่เต็มไปรอยน้ำตา ความเจ็บช้ำ และความทุกข์ระทมที่เจือจานไปสู่ผู้คนทุกผู้ทุกนามที่ข้องเกี่ยวอย่างสาสม …ก็เท่านั้นเอง

“ผมดูหนังหลายๆเรื่อง (เพราะเกี่ยวกับงานที่ทำส่วนหนึ่ง) มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า “หนังที่เกี่ยวกับ affair แทบทุกเรื่องมักมี “ฉากฝนตกหนักหน่วง” และ “ลมแรง” …
การนอกใจหมายถึงลมที่พัดแรง เท่าๆ กับที่การมีชู้หมายถึง ฝนตกหนัก ผมว่า เมื่อเมฆตั้งเค้า และใครมองเห็นฟ้าครึ้มมาแต่ไกล เราทุกคนสามารถเลือก “การอยู่บ้าน” ได้ทั้งนั้น
นันทขว้าง สิรสุนทร จากหนังสือ “คนรักของคนรัก” My lover’s lover

เอกสารอ้างอิง
ชายชู้…ที่รู้ตัวว่าเลว. (2547, กุมภาพันธ์ 8). http://www.thaimental.com.
ธาวิต สุขพานิช. (2544). 108 ที่ผู้หญิงควรรู้แต่ไม่รู้. สำนักพิมพ์ พ๊อพบุ๊คส์ พับบลิค.
นงพงา ลิ้มสุวรรณ. (2547). ตามล่าหาเหตุแห่ง “ชู้” ทำไมภรรยาถึงต้องนอกใจสามี ? http://www. Manager on line.
นันทขว้าง สิรสุนทร. (2547). คนรักของคนรัก My lover’s lover. สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์.
นเรศ นโรปกรณ์. (2516). สาวเอยจะบอกให้. เจริญวิทย์การพิมพ์.
พฤติกรรมของคู่สมรสที่นำมาสู่การแยกทางกัน. (2548). สำนักวิจัยเอเเบค โพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ.
สถิติการจดทะเบียนหย่าร้างในรอบสิบปี. (2546). สำนักทะเบียนกรมการปกครอง.
Eysenck H.J. and D.K.B. Nias, Sex violence and the Media. U.S.A : First Haper Edition. 1979.
Hindelang, Michel J. “Causes of Delinquency” : A partial replication and extension,
“Social Problems” . 1973
Hurlock, Elizabeth B. Child Development. Tokyo : Kogakusha C.D.


http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...oup=1&gblog=16